ActivityPub Viewer

A small tool to view real-world ActivityPub objects as JSON! Enter a URL or username from Mastodon or a similar service below, and we'll send a request with the right Accept header to the server to view the underlying object.

Open in browser →
{ "@context": "https://www.w3.org/ns/activitystreams", "type": "OrderedCollectionPage", "orderedItems": [ { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:812127617134657536", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "ดิฉันหายหน้าหายตาไปหลายวัน เพราะภาระหน้าที่ประจำ รวมทั้งการเตรียมการสัมภาษณ์กับพนักงานขององค์กรอีกด้วย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีโอกาสเข้ามาอ่านบทความและให้ความคิดเห็นสัก 5-10 นาที จากนั้น ก็ต้องกลับไปสู่การงานประจำวันต่อไป<br /><br />--------------<br /><br />ไปเห็นบทความขึ้นมาตามหน้า Newsfeed เกี่ยวกับเรื่องการดำเนินข้อหากับบุคคลที่ทำการชุมนุมในเรื่องของ “อยากเลือกตั้ง” กัน และต่อมา ทางฝ่ายทหารก็ตั้งข้อหาว่า มีการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับการชุมนุมเกิน 5 คน รวมทั้งรวมข้อหาในเรื่องการปลุกปั่นเกี่ยวกับ มาตรา 116 อีกด้วย<br /><br />แต่อยากแสดงความคิดเห็นบนหน้า Feeds ของตนเอง เนื่องจากว่า ยังไม่สันทัดในเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายไทยเท่าไรนัก ก็ขอจำแนกให้อ่านเป็นข้อๆ ก็แล้วกัน ผิดถูกอย่างไร ก็เชิญแสดงความคิดเห็นได้เลยนะคะ:<br /><br />1. ดิฉันเข้าใจเสมอว่า รัฐธรรมนูญ หรือ Constitution เป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ ของประเทศทุกแห่งในโลก;<br /><br />2. ถ้ามีการออกกฎหมายต่างๆ ออกมา กฎหมายเหล่านั้น จะไปขัดกันกับกฎหมายและมาตราที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญไม่ได้;<br /><br />3. คำสั่งต่างๆ ภายใต้กฎอัยการศึก ซึ่งนำมาบังคับใช้ จะต้องมีศักดิ์ศรี ต่ำกว่ากฎหมายสูงสุดของประเทศ นั่นคือ รัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ รวมไปถึงเรื่อง พระราชบัญญัติ (Act) และ พระราชบัญญัติประกอบกับรัฐธรรมนูญ (คิดว่า คล้ายๆ กับ amendment ของ Constitution แต่คงจะไม่เหมือนกัน) ;<br /><br />4. เรื่องสิทธิเสรีภาพต่างๆ ในการแสดงความคิดเห็น ก็ระบุอยู่ในตัวรัฐธรรมนูญเรียบร้อย ในหมวดที่ 3. ว่าด้วยเรื่อง สิทธิและเสรีภาพปวงชนชาวไทย ท่านสามารถไปหาอ่านกันได้เอง โดยเฉพาะมาตราที่ 25 เป็นต้นไป<br /><br />---------------<br /><br />เวลานี้ ดิฉันคิดว่า ทางประเทศไทยกำลังมีเรื่องวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ หรือ Constitutional Crisis อยู่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ นั่นคือ สิทธิและเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น เนื่องจากว่า มันมีมุมมองและการบังคับใช้กฎหมายซ้อนกันอยู่ถึง สามฉบับเต็ม กล่าวคือ.<br /><br />1. คำสั่งของ คสช เลขที่ 3/2558 ซึ่งห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป;<br /><br />2. พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 บังคับใช้มาราวๆ กลางเดือน สิงหาคม ปีเดียวกัน;<br /><br />3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย บังคับใช่มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว นั่นคือ วันที่ 6 เมษายน 2560<br /><br />---------------<br /><br />ปัญหาที่ดิฉันเห็นคือ การบังคับใช้ และการตีความ (Interpretation) เกี่ยวกับกฎหมายสามเรื่องนี้พร้อมๆ กัน และเมื่อมีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มนุษย์เรา จะมีการเลือกปฏิบัติกัน (Selective enforcement) และดิฉันกล้าเขียนแบบนี้เลยว่า:<br /><br />ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายหนึ่งที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแล้ว จะนำเอากฎหมายหนึ่งในสามเรื่องนี้ เข้ามาบังคับใช้<br /><br />และถ้าเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะมีกฎหมายอีกแบบหนึ่งเข้ามาบังคับใช้โดยเช่นเดียวกัน<br /><br />---------------<br /><br />ส่วนผู้ที่มีส่วนร่วมชุมนุม ต่างก็มีมุมมอง (Points of views) ต่างกันด้วย<br /><br />เพราะฉะนั้น การบังคับใช้กฎหมาย ก็กลายเป็นวิกฤตการณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งนำไปสู่ความงงงัน และความไม่เข้าใจกันว่า มันเป็นอะไร ประการใด หรือ อย่างไร<br /><br />ดิฉันกล้าพูดเลยว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายคนใด สามารถอธิบายแยกแยะ และให้ความแตกต่างเกี่ยวกับทั้งสามเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้จริงๆ<br /><br />---------------<br /><br />พูดง่ายๆ คือ ถ้าไม่เคลียร์ ก็จะถือว่า ชุมนุมเกิน 5 คน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายที่ถูกตั้งข้อหาว่า ชุมนุมเกิน 5 คนนั้น เขาใช้ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ เนื่องจากมีการขออนุญาตอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว<br /><br />ดิฉันคิดว่า ถ้าอยู่ๆ คนเราจะไปชุมนุมเกิน 5 คน โดยปราศจากการขออนุญาต มันจะทำให้มุมมองของตนเอง เปลี่ยนไปโดยทันที และไม่คิดว่า ใครจะไป “บ้า” ทำอย่างนั้น (คนเราต้องห่วงหน้าห่วงหลัง และควรจะมี Safety net กันด้วย)<br /><br />อย่าลืมว่า คำสั่ง คสช 3/2558 ไม่มีเรื่องการขออนุญาต มีแต่เรื่องของ “การได้รับอนุญาต” จากฝ่าย คสช อย่างเดียว (และคิดว่า ทาง คสช เอง ก็คงจะ “อนุญาต” ให้พวกที่เชียร์ตนเองอยู่ ทำการชุมนุมกันแน่นอน)<br /><br />---------------<br /><br />แต่สิ่งที่ดิฉันไม่เข้าใจคือว่า เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการแล้ว ทำไมพวกคำสั่งเหล่านี้ ยังคงสามารถอยู่ในสถานะที่บังคับใช้ได้ตลอดเวลา?<br /><br />ตามความเข้าใจของดิฉัน ทุกๆ ประเทศในโลก มีกฎมายแม่ที่สูงสุด นั่นคือ รัฐธรรมนูญ และ กฎหมายที่ลำดับ “ต่ำกว่า” ก็จะต้องตกลงไป<br /><br />ไม่มีใครในรัฐบาลเอง ทำการ “ฟันธง” ว่า ทำไม คำสั่งของ คสช เรื่องนี้ ถึงยังมีการปฏิบัติบังคับใช้อยู่ ทั้งๆ ที่มี พรบ การชุมนุมสาธารณะ รวมทั้ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ออกมาบังคับใช้กันแล้ว<br /><br />--------------<br /><br />ถ้าเหตุการณ์เกี่ยวกับ Constitution Crisis เกิดขึ้นใน US จะมีการนำเอาผู้พิพากษาจากศาลสูงสุดของรัฐนั้น เข้ามาพิจารณาคดีว่า เกิดอะไรขึ้น และการออกหรือผ่านกฎหมายนั้น ไปขัดกับรัฐธรรมนูญของรัฐ หรือของประเทศหรือไม่<br /><br />ดิฉันไม่ทราบว่า ทางไทย เขาจะทำอย่างไร แต่ของรัฐใน US นั้น ทางศาลจะตัดสินว่า ขัดกับรัฐธรรมนูญ เรื่องจะตกลงไป และบังคับใช้ไม่ได้<br /><br />ส่วนใหญ่ที่เห็นคือ ตัวแทนของประชาชน จะเสนอกฎหมายเข้าไปใหม่ (เพราะตัวเก่าไปขัดกับรัฐธรรมนูญ) อาจจะคว่ำกฎหมายเก่า หรือ แก้ไขกฎหมายเก่า ไม่ให้ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ จากนั้น ก็ผ่านมติการโหวดในสภาสองสภา (หลังจากอภิปรายกันเรียบร้อย) จากนั้น ก็ให้ Governor เซ็นเพื่อมีผลในการบังคับใช้ใหม่<br /><br />-------------<br /><br />แต่เมื่อทางไทย ยังมีการขัดแย้งกันอย่างที่เห็นๆ ผลก็คือ การเลือกปฏิบัติ ถ้าเป็นกลุ่มที่ตนเองชื่นชอบ ก็จะกล่าวว่า ชุมนุมได้ตาม พรบ ชุมนุมสาธารณะ แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่ตนเองเกลียดขึ้นมา ก็เอาเรื่อง คำสั่ง คสช 3/2558 มาทำการปฏิบัติใช้<br /><br />เราถึงเห็นเรื่องของ การชุมนุมเรื่อง อยากเลือกตั้ง ควบคู่ไปกับ การชุมนุมเพื่อ “เชียร์” รัฐบาล มันก็คือ การชุมนุมทางการเมือง แต่ผลหรือบทลงโทษ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการจับ “ตัวบุคคล” บวกกับเงินค่าปรับและการปล่อยตัว<br /><br />-------------<br /><br />สิ่งที่ดิฉันคิดว่า เราสามารถ “ลงตัว” ในเรื่องนี้ได้ หลายวิธีการ ส่วนความเป็นไปได้นั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความคิดของดิฉันมีดังนี้:<br /><br />1. เสนอให้มีการสัมมนาทางวิชาการ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ บวกกับตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล, สำนักงานอัยการ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กลุ่มนิติราษฎร์ สำนักงานทนายความ สำนักงานสิทธิมนุษยชน ฯลฯ มาทำการสัมมนาโดยพร้อมเพรียงกัน เกี่ยวกับ หัวข้อ ทั้งสามหัวข้อ และเสนอให้เห็นถึงความแตกต่าง เพิ่อให้ความรู้กับประชาชนว่า ทำไม ถึงมีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ พร้อมๆ กันอยู่ถึงสามฉบับ<br /><br />2. คำสั่ง คสช อยู่ในสถานะใดของกฎหมาย? ต่ำกว่า หรือ สูงกว่า พระราชบัญญัติ ต่ำกว่าหรือสูงกว่า รัฐธรรมนูญ?<br /><br />เมื่อการออกคำสั่งในเวลานั้น ถือว่าเป็น รัฏฐาธิปัตย์ แต่ในเวลาปัจจุบัน ซึ่งมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว ยังถือว่า ตนเองอยู่ในสถานะของรัฏฐาธิปัตย์ หรือไม่? ถ้ายังอยู่ ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ จะอยู่ในฐานะอะไร?<br /><br />และที่สำคัญที่สุดคือ หวังว่า ดิฉันคงจะไม่ได้ยินคำกล่าวว่า “คำสั่ง” อะไรเหล่านี้ มีสถานะ “เทียบเท่า” กับ รัฐธรรมนูญ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ในหลักการทั่วไป (แต่จะเอาคำว่า “หลักการ” มาใช้ในเรื่องเหล่านี้ ก็คงจะลำบากพอสมควร)<br /><br />3. ถ้าเป็นทาง US เราจะพึ่งสภา Congress ในการออกกฎหมาย “ยกเลิก” คำสั่ง แต่ดิฉันไม่ทราบเกี่ยวกับของไทยว่า สามารถยกเลิกโดยปริยายได้หรือเปล่า เพราะมันมีกฎหมายตัวอื่นๆ มีผลบังคับใช้ภายหลังแล้ว<br /><br />(แต่ทางไทย คงจะพึ่ง สภาฯ ในเวลานี้ไม่ได้ เพราะมันมีเรื่องของ Conflicts of Interest กัน เนื่องจาก แต่งตั้งโดยฝ่าย คสช เอง จะมาแก้ไข กฎหมาย คสช คงจะยาก)<br />-------<br /><br />ดิฉันเชื่อว่า เรื่องเหล่านี้ จะมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตย นิสิต นักศึกษา ประชาชนเป็นจำนวนมาก ให้ความสนใจอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะกระทบกับชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขาหรือพวกเธอ<br /><br />แต่เมื่อยังไม่มีใครสามารถให้ความกระจ่างเกี่ยวกับทั้งสามเรื่องได้ การเลือกปฏิบัติ ก็จะยังคงอยู่ต่อไป และเราก็จะเห็นอีกหลายครั้งในอนาคตว่า มันมีการปฏิบัติแบบหลายมาตรฐานเกิดขึ้นจริงๆ<br /><br />อยากจะเห็นการริเริ่มการสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที<br /><br />Happy Monday ค่ะ<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/812127617134657536", "published": "2018-02-19T01:05:12+00:00", "source": { "content": "ดิฉันหายหน้าหายตาไปหลายวัน เพราะภาระหน้าที่ประจำ รวมทั้งการเตรียมการสัมภาษณ์กับพนักงานขององค์กรอีกด้วย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีโอกาสเข้ามาอ่านบทความและให้ความคิดเห็นสัก 5-10 นาที จากนั้น ก็ต้องกลับไปสู่การงานประจำวันต่อไป\n\n--------------\n\nไปเห็นบทความขึ้นมาตามหน้า Newsfeed เกี่ยวกับเรื่องการดำเนินข้อหากับบุคคลที่ทำการชุมนุมในเรื่องของ “อยากเลือกตั้ง” กัน และต่อมา ทางฝ่ายทหารก็ตั้งข้อหาว่า มีการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับการชุมนุมเกิน 5 คน รวมทั้งรวมข้อหาในเรื่องการปลุกปั่นเกี่ยวกับ มาตรา 116 อีกด้วย\n\nแต่อยากแสดงความคิดเห็นบนหน้า Feeds ของตนเอง เนื่องจากว่า ยังไม่สันทัดในเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายไทยเท่าไรนัก ก็ขอจำแนกให้อ่านเป็นข้อๆ ก็แล้วกัน ผิดถูกอย่างไร ก็เชิญแสดงความคิดเห็นได้เลยนะคะ:\n\n1. ดิฉันเข้าใจเสมอว่า รัฐธรรมนูญ หรือ Constitution เป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ ของประเทศทุกแห่งในโลก;\n\n2. ถ้ามีการออกกฎหมายต่างๆ ออกมา กฎหมายเหล่านั้น จะไปขัดกันกับกฎหมายและมาตราที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญไม่ได้;\n\n3. คำสั่งต่างๆ ภายใต้กฎอัยการศึก ซึ่งนำมาบังคับใช้ จะต้องมีศักดิ์ศรี ต่ำกว่ากฎหมายสูงสุดของประเทศ นั่นคือ รัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ รวมไปถึงเรื่อง พระราชบัญญัติ (Act) และ พระราชบัญญัติประกอบกับรัฐธรรมนูญ (คิดว่า คล้ายๆ กับ amendment ของ Constitution แต่คงจะไม่เหมือนกัน) ;\n\n4. เรื่องสิทธิเสรีภาพต่างๆ ในการแสดงความคิดเห็น ก็ระบุอยู่ในตัวรัฐธรรมนูญเรียบร้อย ในหมวดที่ 3. ว่าด้วยเรื่อง สิทธิและเสรีภาพปวงชนชาวไทย ท่านสามารถไปหาอ่านกันได้เอง โดยเฉพาะมาตราที่ 25 เป็นต้นไป\n\n---------------\n\nเวลานี้ ดิฉันคิดว่า ทางประเทศไทยกำลังมีเรื่องวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ หรือ Constitutional Crisis อยู่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ นั่นคือ สิทธิและเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น เนื่องจากว่า มันมีมุมมองและการบังคับใช้กฎหมายซ้อนกันอยู่ถึง สามฉบับเต็ม กล่าวคือ.\n\n1. คำสั่งของ คสช เลขที่ 3/2558 ซึ่งห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป;\n\n2. พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 บังคับใช้มาราวๆ กลางเดือน สิงหาคม ปีเดียวกัน;\n\n3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย บังคับใช่มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว นั่นคือ วันที่ 6 เมษายน 2560\n\n---------------\n\nปัญหาที่ดิฉันเห็นคือ การบังคับใช้ และการตีความ (Interpretation) เกี่ยวกับกฎหมายสามเรื่องนี้พร้อมๆ กัน และเมื่อมีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มนุษย์เรา จะมีการเลือกปฏิบัติกัน (Selective enforcement) และดิฉันกล้าเขียนแบบนี้เลยว่า:\n\nถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายหนึ่งที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแล้ว จะนำเอากฎหมายหนึ่งในสามเรื่องนี้ เข้ามาบังคับใช้\n\nและถ้าเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะมีกฎหมายอีกแบบหนึ่งเข้ามาบังคับใช้โดยเช่นเดียวกัน\n\n---------------\n\nส่วนผู้ที่มีส่วนร่วมชุมนุม ต่างก็มีมุมมอง (Points of views) ต่างกันด้วย\n\nเพราะฉะนั้น การบังคับใช้กฎหมาย ก็กลายเป็นวิกฤตการณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งนำไปสู่ความงงงัน และความไม่เข้าใจกันว่า มันเป็นอะไร ประการใด หรือ อย่างไร\n\nดิฉันกล้าพูดเลยว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายคนใด สามารถอธิบายแยกแยะ และให้ความแตกต่างเกี่ยวกับทั้งสามเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้จริงๆ\n\n---------------\n\nพูดง่ายๆ คือ ถ้าไม่เคลียร์ ก็จะถือว่า ชุมนุมเกิน 5 คน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายที่ถูกตั้งข้อหาว่า ชุมนุมเกิน 5 คนนั้น เขาใช้ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ เนื่องจากมีการขออนุญาตอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว\n\nดิฉันคิดว่า ถ้าอยู่ๆ คนเราจะไปชุมนุมเกิน 5 คน โดยปราศจากการขออนุญาต มันจะทำให้มุมมองของตนเอง เปลี่ยนไปโดยทันที และไม่คิดว่า ใครจะไป “บ้า” ทำอย่างนั้น (คนเราต้องห่วงหน้าห่วงหลัง และควรจะมี Safety net กันด้วย)\n\nอย่าลืมว่า คำสั่ง คสช 3/2558 ไม่มีเรื่องการขออนุญาต มีแต่เรื่องของ “การได้รับอนุญาต” จากฝ่าย คสช อย่างเดียว (และคิดว่า ทาง คสช เอง ก็คงจะ “อนุญาต” ให้พวกที่เชียร์ตนเองอยู่ ทำการชุมนุมกันแน่นอน)\n\n---------------\n\nแต่สิ่งที่ดิฉันไม่เข้าใจคือว่า เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการแล้ว ทำไมพวกคำสั่งเหล่านี้ ยังคงสามารถอยู่ในสถานะที่บังคับใช้ได้ตลอดเวลา?\n\nตามความเข้าใจของดิฉัน ทุกๆ ประเทศในโลก มีกฎมายแม่ที่สูงสุด นั่นคือ รัฐธรรมนูญ และ กฎหมายที่ลำดับ “ต่ำกว่า” ก็จะต้องตกลงไป\n\nไม่มีใครในรัฐบาลเอง ทำการ “ฟันธง” ว่า ทำไม คำสั่งของ คสช เรื่องนี้ ถึงยังมีการปฏิบัติบังคับใช้อยู่ ทั้งๆ ที่มี พรบ การชุมนุมสาธารณะ รวมทั้ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ออกมาบังคับใช้กันแล้ว\n\n--------------\n\nถ้าเหตุการณ์เกี่ยวกับ Constitution Crisis เกิดขึ้นใน US จะมีการนำเอาผู้พิพากษาจากศาลสูงสุดของรัฐนั้น เข้ามาพิจารณาคดีว่า เกิดอะไรขึ้น และการออกหรือผ่านกฎหมายนั้น ไปขัดกับรัฐธรรมนูญของรัฐ หรือของประเทศหรือไม่\n\nดิฉันไม่ทราบว่า ทางไทย เขาจะทำอย่างไร แต่ของรัฐใน US นั้น ทางศาลจะตัดสินว่า ขัดกับรัฐธรรมนูญ เรื่องจะตกลงไป และบังคับใช้ไม่ได้\n\nส่วนใหญ่ที่เห็นคือ ตัวแทนของประชาชน จะเสนอกฎหมายเข้าไปใหม่ (เพราะตัวเก่าไปขัดกับรัฐธรรมนูญ) อาจจะคว่ำกฎหมายเก่า หรือ แก้ไขกฎหมายเก่า ไม่ให้ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ จากนั้น ก็ผ่านมติการโหวดในสภาสองสภา (หลังจากอภิปรายกันเรียบร้อย) จากนั้น ก็ให้ Governor เซ็นเพื่อมีผลในการบังคับใช้ใหม่\n\n-------------\n\nแต่เมื่อทางไทย ยังมีการขัดแย้งกันอย่างที่เห็นๆ ผลก็คือ การเลือกปฏิบัติ ถ้าเป็นกลุ่มที่ตนเองชื่นชอบ ก็จะกล่าวว่า ชุมนุมได้ตาม พรบ ชุมนุมสาธารณะ แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่ตนเองเกลียดขึ้นมา ก็เอาเรื่อง คำสั่ง คสช 3/2558 มาทำการปฏิบัติใช้\n\nเราถึงเห็นเรื่องของ การชุมนุมเรื่อง อยากเลือกตั้ง ควบคู่ไปกับ การชุมนุมเพื่อ “เชียร์” รัฐบาล มันก็คือ การชุมนุมทางการเมือง แต่ผลหรือบทลงโทษ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการจับ “ตัวบุคคล” บวกกับเงินค่าปรับและการปล่อยตัว\n\n-------------\n\nสิ่งที่ดิฉันคิดว่า เราสามารถ “ลงตัว” ในเรื่องนี้ได้ หลายวิธีการ ส่วนความเป็นไปได้นั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความคิดของดิฉันมีดังนี้:\n\n1. เสนอให้มีการสัมมนาทางวิชาการ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ บวกกับตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล, สำนักงานอัยการ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กลุ่มนิติราษฎร์ สำนักงานทนายความ สำนักงานสิทธิมนุษยชน ฯลฯ มาทำการสัมมนาโดยพร้อมเพรียงกัน เกี่ยวกับ หัวข้อ ทั้งสามหัวข้อ และเสนอให้เห็นถึงความแตกต่าง เพิ่อให้ความรู้กับประชาชนว่า ทำไม ถึงมีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ พร้อมๆ กันอยู่ถึงสามฉบับ\n\n2. คำสั่ง คสช อยู่ในสถานะใดของกฎหมาย? ต่ำกว่า หรือ สูงกว่า พระราชบัญญัติ ต่ำกว่าหรือสูงกว่า รัฐธรรมนูญ?\n\nเมื่อการออกคำสั่งในเวลานั้น ถือว่าเป็น รัฏฐาธิปัตย์ แต่ในเวลาปัจจุบัน ซึ่งมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว ยังถือว่า ตนเองอยู่ในสถานะของรัฏฐาธิปัตย์ หรือไม่? ถ้ายังอยู่ ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ จะอยู่ในฐานะอะไร?\n\nและที่สำคัญที่สุดคือ หวังว่า ดิฉันคงจะไม่ได้ยินคำกล่าวว่า “คำสั่ง” อะไรเหล่านี้ มีสถานะ “เทียบเท่า” กับ รัฐธรรมนูญ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ในหลักการทั่วไป (แต่จะเอาคำว่า “หลักการ” มาใช้ในเรื่องเหล่านี้ ก็คงจะลำบากพอสมควร)\n\n3. ถ้าเป็นทาง US เราจะพึ่งสภา Congress ในการออกกฎหมาย “ยกเลิก” คำสั่ง แต่ดิฉันไม่ทราบเกี่ยวกับของไทยว่า สามารถยกเลิกโดยปริยายได้หรือเปล่า เพราะมันมีกฎหมายตัวอื่นๆ มีผลบังคับใช้ภายหลังแล้ว\n\n(แต่ทางไทย คงจะพึ่ง สภาฯ ในเวลานี้ไม่ได้ เพราะมันมีเรื่องของ Conflicts of Interest กัน เนื่องจาก แต่งตั้งโดยฝ่าย คสช เอง จะมาแก้ไข กฎหมาย คสช คงจะยาก)\n-------\n\nดิฉันเชื่อว่า เรื่องเหล่านี้ จะมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตย นิสิต นักศึกษา ประชาชนเป็นจำนวนมาก ให้ความสนใจอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะกระทบกับชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขาหรือพวกเธอ\n\nแต่เมื่อยังไม่มีใครสามารถให้ความกระจ่างเกี่ยวกับทั้งสามเรื่องได้ การเลือกปฏิบัติ ก็จะยังคงอยู่ต่อไป และเราก็จะเห็นอีกหลายครั้งในอนาคตว่า มันมีการปฏิบัติแบบหลายมาตรฐานเกิดขึ้นจริงๆ\n\nอยากจะเห็นการริเริ่มการสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที\n\nHappy Monday ค่ะ\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:812127617134657536/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:804726122059640832", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "ในโลกของยุคดิจิตอล มันไม่เหมือนเมื่อสมัย 40 ปีที่ผ่านมาว่า ผู้นำพูดอะไร อีกสองสัปดาห์ คนก็ลืมกันหมด<br /><br />เมื่อไปกล่าวออกโทรทัศน์ หรือให้สัมภาษณ์อะไรไว้ ทุกอย่างที่พูด มันก็กลับคืนเข้าตัวทุกอย่าง<br /><br />สัญญาที่ให้ไว้กับประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนตุลาคม 2017 จะเป็นอย่างไร? อย่ามาโทษนู่นโทษนี่เลยดีกว่า<br /><br />******<br />ส่วนคุณสรรเสริญ ที่ออกมากล่าวว่า ยืดออกไป 90 วันจะเป็นอะไรไปนั้น<br /><br />การพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณไม่มีประสบการณ์ในการทำสัญญากับทางต่างประเทศเลยใช่ไหม? คำพูดที่เปรียบเสมือนโวหารให้ฟังดูดีๆ แต่เมื่อคุณสัญญาอะไรแล้ว คุณจะเปลี่ยนไม่ได้ เพราะนี่คือ สัญญาประชาคม โดยเฉพาะเมื่อมีการลงนามอย่างเป็นทางการ<br /><br />ลองไปอ่านดูว่า ท่านผู้นำ ลงนามไว้ในเรื่องอะไรบ้าง จาก the Joint Statement between the United States of America and the Kingdom of Thailand เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี<br /><br />คนอย่างนี่แหละ ที่ทางตะวันตกเขาเรียกว่า Siamese Talk คือ กลับกลอก ปลิ้นปล้น ไม่สามารถเชื่อใจอะไรได้<br /><br />*****<br /><br />สื่อของทางตะวันตก เขาไม่ได้ลงผิดแน่ๆ โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ที่ ทำเนียบรัฐบาลเสียด้วย<br /><br />แต่อย่างว่า คนที่บอกว่า \"ทำตามสัญญา อีกไม่นาน\" ก็เหมือนกับคำพูดโวหารที่เปล่งออกมา แต่ไม่สามารถเชื่อถือได้<br /><br />นี่คือ สิ่งที่ฝ่ายเผด็จการ (และกองเชียร์) ขอบพูดกันเสมอว่า นักการเมืองปลิ้นปล้อน แต่ถ้ามันเกิดกับฝ่ายคุณ ก็ถือว่า มันเป็นเรื่องสุดวิสัย รวมทั้งชักแม่น้ำทั้งห้า มาให้เหตุผลเกี่ยวกับการ excuses?<br /><br /><br />*****<br />Road map คือ โครงสร้างที่วางแผนให้เราเดินไปตามทางที่ปูไว้<br /><br />แต่มันุกำลังจะกลายเป็น Wreck map เพราะไม่มีความเชื่อถือหลงอยู่<br /><br />เมื่อไปพูดอะไร เซ็นสัญญาอะไรกับทางต่างประเทศ เขาถือว่า เป็นการสัญญาในฐานะผู้นำ และมันมีเรื่องอื่นๆ ตามมาอีก<br /><br />เมื่อการผิดสัญญาเกิดขึ้น ความเชื่อถือมันก็ลดลงไปตามลำดับ โดยเฉพาะเรื่องการค้าขาย การลงทุน การสนับสนุนทางการเงิน การเมือง ฯลฯ<br /><br />******<br /><br />อย่ามาแสดงโวหารหรือโกหกผู้คนในโลกดิจิตอลดีกว่า<br /><br />เพราะประชาชนเขาตระหนักดีว่า ประชาธิปไตย มันคืออะไร ไม่ต้องไปเสี้ยมสอนเขาหรอก....<br /><br />และโลกดิจิตอล มันก็สามารถเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้เป็นเวลานับสิบๆ ปี<br /><br />Happy Monday ค่ะ<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/804726122059640832", "published": "2018-01-29T14:54:18+00:00", "source": { "content": "ในโลกของยุคดิจิตอล มันไม่เหมือนเมื่อสมัย 40 ปีที่ผ่านมาว่า ผู้นำพูดอะไร อีกสองสัปดาห์ คนก็ลืมกันหมด\n\nเมื่อไปกล่าวออกโทรทัศน์ หรือให้สัมภาษณ์อะไรไว้ ทุกอย่างที่พูด มันก็กลับคืนเข้าตัวทุกอย่าง\n\nสัญญาที่ให้ไว้กับประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนตุลาคม 2017 จะเป็นอย่างไร? อย่ามาโทษนู่นโทษนี่เลยดีกว่า\n\n******\nส่วนคุณสรรเสริญ ที่ออกมากล่าวว่า ยืดออกไป 90 วันจะเป็นอะไรไปนั้น\n\nการพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณไม่มีประสบการณ์ในการทำสัญญากับทางต่างประเทศเลยใช่ไหม? คำพูดที่เปรียบเสมือนโวหารให้ฟังดูดีๆ แต่เมื่อคุณสัญญาอะไรแล้ว คุณจะเปลี่ยนไม่ได้ เพราะนี่คือ สัญญาประชาคม โดยเฉพาะเมื่อมีการลงนามอย่างเป็นทางการ\n\nลองไปอ่านดูว่า ท่านผู้นำ ลงนามไว้ในเรื่องอะไรบ้าง จาก the Joint Statement between the United States of America and the Kingdom of Thailand เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี\n\nคนอย่างนี่แหละ ที่ทางตะวันตกเขาเรียกว่า Siamese Talk คือ กลับกลอก ปลิ้นปล้น ไม่สามารถเชื่อใจอะไรได้\n\n*****\n\nสื่อของทางตะวันตก เขาไม่ได้ลงผิดแน่ๆ โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ที่ ทำเนียบรัฐบาลเสียด้วย\n\nแต่อย่างว่า คนที่บอกว่า \"ทำตามสัญญา อีกไม่นาน\" ก็เหมือนกับคำพูดโวหารที่เปล่งออกมา แต่ไม่สามารถเชื่อถือได้\n\nนี่คือ สิ่งที่ฝ่ายเผด็จการ (และกองเชียร์) ขอบพูดกันเสมอว่า นักการเมืองปลิ้นปล้อน แต่ถ้ามันเกิดกับฝ่ายคุณ ก็ถือว่า มันเป็นเรื่องสุดวิสัย รวมทั้งชักแม่น้ำทั้งห้า มาให้เหตุผลเกี่ยวกับการ excuses?\n\n\n*****\nRoad map คือ โครงสร้างที่วางแผนให้เราเดินไปตามทางที่ปูไว้\n\nแต่มันุกำลังจะกลายเป็น Wreck map เพราะไม่มีความเชื่อถือหลงอยู่\n\nเมื่อไปพูดอะไร เซ็นสัญญาอะไรกับทางต่างประเทศ เขาถือว่า เป็นการสัญญาในฐานะผู้นำ และมันมีเรื่องอื่นๆ ตามมาอีก\n\nเมื่อการผิดสัญญาเกิดขึ้น ความเชื่อถือมันก็ลดลงไปตามลำดับ โดยเฉพาะเรื่องการค้าขาย การลงทุน การสนับสนุนทางการเงิน การเมือง ฯลฯ\n\n******\n\nอย่ามาแสดงโวหารหรือโกหกผู้คนในโลกดิจิตอลดีกว่า\n\nเพราะประชาชนเขาตระหนักดีว่า ประชาธิปไตย มันคืออะไร ไม่ต้องไปเสี้ยมสอนเขาหรอก....\n\nและโลกดิจิตอล มันก็สามารถเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้เป็นเวลานับสิบๆ ปี\n\nHappy Monday ค่ะ\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:804726122059640832/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:800937779669569536", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "ข้อสังเกตุสั้นๆ <br /><br />1. มีความรู้สึกว่า กำลังมีการสร้างข่าวใหญ่ๆ อย่างเช่นเรื่องของ อาจารย์ชาญวิทย์ และอีกหลายๆ ข่าว เพื่อกลบเรื่องนากา <br /><br />ตอนนี้เห็นมีการโพสต์ว่า คุณเอกชัย หงส์กังวาน เพิ่งจะถูกดักทำร้าย และอยู่ที่สถานีตำรวจเวลานี้<br /><br />ข่าวสองข่าวนี้ กำลัง Hot และทำให้คนลืมประเด็นเรื่อง นากา ไปได้เลย<br /><br />-------------------<br /><br />2. การเริ่มปิดเพจ และการหายตัวไปของเพจที่มีชื่อเสียงอย่างเพจของ \"ไข่แมว\"<br /><br />อีกสักพัก อาจจะเห็นโฆษกสรรเสริญ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทางทหารไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพจ \"ไข่แมว\"<br /><br />ก็ขอให้คิดว่า เป็นการให้สัมภาษณ์ \"แบบไทยๆ\" หรือ \"ไทยนิยม\" ของฝ่ายทหารก็แล้วกัน<br /><br />เพราะการเติมต่อคำว่า \"ไทยๆ\" ลงท้าย ท่านก็คงจะทราบดีว่า มันมีความหมายเป็นอย่างไร? (ประเภท \"ตรงกันข้าม\" กันหมดหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้...)<br /><br />Bottom Line คือ ท่านจะเชื่อคำให้สัมภาษณ์ของท่านโฆษกมากน้อยขนาดไหน?<br /><br />----------------------<br /><br />3. ทำไมถึงรู้สึกว่า กำลังจะมีการ Blitz หรีอยุทธการแบบสายฟ้าแลบเกิดขึ้้น ในเวลาอีกไม่นานนัก ก็ไม่รู้ซิ? <br /><br />จะเกิดขึ้นกับใครเป็นรายต่อไป ก็ยากที่จะคาดเดาได้ <br /><br />แต่อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ท่านเตรียมตัว ให้ถึงพร้อมกับความไม่ประมาทก็แล้วกัน<br /><br />----------------------<br /><br />ก่อนปิดท้าย<br /><br />อย่าหลงประเด็นอื่นๆ ที่กำลังเป็นข่าวแบบ Hot News ในเวลานี้....<br /><br />เพราะ ยุทธการของ \"การสร้างข่าวเรื่องหนึ่ง\" เพื่อ \"กลบข่าวอีกเรื่องหนึ่ง\" มันเป็นที่นิยมใช้กันมาหลายครั้งหลายหน ประเภทเห็นกันจนชินแล้ว<br /><br />จงพุ่งความสนใจ และ โฟกัสไปที่ นากา ต่อไป....<br /><br /><br />Have a great Friday ค่ะ<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/800937779669569536", "published": "2018-01-19T04:00:47+00:00", "source": { "content": "ข้อสังเกตุสั้นๆ \n\n1. มีความรู้สึกว่า กำลังมีการสร้างข่าวใหญ่ๆ อย่างเช่นเรื่องของ อาจารย์ชาญวิทย์ และอีกหลายๆ ข่าว เพื่อกลบเรื่องนากา \n\nตอนนี้เห็นมีการโพสต์ว่า คุณเอกชัย หงส์กังวาน เพิ่งจะถูกดักทำร้าย และอยู่ที่สถานีตำรวจเวลานี้\n\nข่าวสองข่าวนี้ กำลัง Hot และทำให้คนลืมประเด็นเรื่อง นากา ไปได้เลย\n\n-------------------\n\n2. การเริ่มปิดเพจ และการหายตัวไปของเพจที่มีชื่อเสียงอย่างเพจของ \"ไข่แมว\"\n\nอีกสักพัก อาจจะเห็นโฆษกสรรเสริญ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทางทหารไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพจ \"ไข่แมว\"\n\nก็ขอให้คิดว่า เป็นการให้สัมภาษณ์ \"แบบไทยๆ\" หรือ \"ไทยนิยม\" ของฝ่ายทหารก็แล้วกัน\n\nเพราะการเติมต่อคำว่า \"ไทยๆ\" ลงท้าย ท่านก็คงจะทราบดีว่า มันมีความหมายเป็นอย่างไร? (ประเภท \"ตรงกันข้าม\" กันหมดหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้...)\n\nBottom Line คือ ท่านจะเชื่อคำให้สัมภาษณ์ของท่านโฆษกมากน้อยขนาดไหน?\n\n----------------------\n\n3. ทำไมถึงรู้สึกว่า กำลังจะมีการ Blitz หรีอยุทธการแบบสายฟ้าแลบเกิดขึ้้น ในเวลาอีกไม่นานนัก ก็ไม่รู้ซิ? \n\nจะเกิดขึ้นกับใครเป็นรายต่อไป ก็ยากที่จะคาดเดาได้ \n\nแต่อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ท่านเตรียมตัว ให้ถึงพร้อมกับความไม่ประมาทก็แล้วกัน\n\n----------------------\n\nก่อนปิดท้าย\n\nอย่าหลงประเด็นอื่นๆ ที่กำลังเป็นข่าวแบบ Hot News ในเวลานี้....\n\nเพราะ ยุทธการของ \"การสร้างข่าวเรื่องหนึ่ง\" เพื่อ \"กลบข่าวอีกเรื่องหนึ่ง\" มันเป็นที่นิยมใช้กันมาหลายครั้งหลายหน ประเภทเห็นกันจนชินแล้ว\n\nจงพุ่งความสนใจ และ โฟกัสไปที่ นากา ต่อไป....\n\n\nHave a great Friday ค่ะ\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:800937779669569536/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:781359628070952969", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "ขอเขียนแบบกลางๆ ธรรมดาๆ เกี่ยวกั่บ ข่าวที่ปรากฎตามหน้า Feeds ในเรื่องการเสียชีวิตของนักเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ดิฉันจะไม่ขอเขียนรายละเอียดใดๆ เพราะท่านคงจะสามารถอ่านจากแหล่งข่าวและตามหน้าเวปได้เอง จากนั้นก็ใช้วิจารณญาณตัดสินเองว่า อะไรเป็นอะไร<br /><br /><br />เท่าที่อ่านเห็นครั้งล่าสุดคือ ทางการทหารประกาศว่า ให้หยุด \"ดราม่า\" เรื่องนี้กันเสียที พูดง่ายๆ ว่า ให้เลิกวิจารณ์ เพราะทุกอย่างจะได้เงียบกริบอย่างที่ต้องการกัน<br /><br /><br />--------<br /><br />ถ้าถามดิฉัน ดิฉันคิดว่า เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้รักประชาธิปไตย หรือ ผู้สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ตาม ต่างก็มีความเห็นตรงกันอย่างหนึ่งคือ การเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต <br /><br /><br />ถึงแม้ว่า มันอาจจะมีมุมมองที่ต่างกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ \"เปิดใจ\" รับฟังความเห็นต่างกันได้ และเราก็เห็นฝ่ายที่เข้ามา \"ปกป้อง\" สถาบันการศึกษา ด้วยการ เปรียบเทียบว่า ตนเองเป็นบุคคล \"คนละชนชั้น\" กัน อย่างนั้นเป็นต้น <br /><br />--------<br /><br />ครั้งสุดท้ายที่ดิฉันจำได้ว่า ทั้งฝ่ายผู้รักประชาธิปไตย และฝ่ายอนุรักษ์นิยม มีความเห็นพ้องกันเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องที่ รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ประกาศออก พรบ \"เหมาเข่ง\" หรือ พรบ \"นิรโทษกรรม\" นั่นแหละ<br /><br />ครั้งนั้น มีการประกาศจุดยืนของแต่ละฝ่าย ซึ่งรวมๆ ก็คือ \"ไม่เอา\" (แต่จุดยืนต่างกันอย่างเห็นได้ชัด) <br /><br /> มีการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ และสร้างโปรไฟล์กัน และ นั่นคือ จุดกำเนิดของ กปปส ซึ่งต่อมา ท่านก็คงทราบดีว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง และสุดท้ายก็คือ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็พังครืนลงไป<br /><br />-----------<br /><br />เหตุการณ์เรื่องของโรงเรียนเตรียมทหารนี้ เป็นเรื่องนานๆ ครั้งที่จะเกิด \"จุดร่วม\" แต่มันอยู่ที่ว่า สิทธิการแสดงออกของท่านในการเรียกร้องความยุติธรรม จะทำอย่างไรถึงจะเดินหน้าต่อไปได้ <br /><br />ดิฉันไม่เห็น มีการ \"เปลี่ยนโปรไฟล์\" หรือ สร้าง Icon ขึ้นมาสนับสนุนเรียกร้องหาความยุติธรรม เหมือนตอนเรื่อง พรบ นิรโทษกรรม กัน (คงจะจำกันได้ที่ เป็นตัวอักษรสีขาว พื้นสีดำ เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส แบบตะแคง)<br /><br />------------<br /><br />ถ้าท่านต้องการเรียกร้อง ความยุติธรรมหรือกับระบบจริงๆ ก็น่าจะสร้าง Icon หรือ Profile Cover ขึ้นมา สร้างคำขวัญที่ต้องการใช้ และเผยแพร่ เพื่อให้ผู้คนทราบและด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม <br /><br />จากนั้นก็อยู่ที่สติปัญญาและการวิเคราะห์ของแต่ละคนว่า จะ follow through ในเรื่องนี้กันมากน้อยเท่าไร หรือจะให้กลายเป็น คลื่นกระทบฝั่งก็แล้วแต่่<br /><br />------------<br /><br />เพราะดิฉันคิดว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้า คงจะมีการ \"สร้างเรื่องใหม่\" ที่ใหญ่กว่า น่าสนใจกว่า และให้สายทหารเขาทำการ เป็นผู้กระจายข่าวเพื่อเปลี่ยนประเด็นและลดความสนใจจากเรื่องนี้ลงไปแทน <br /><br />มันเป็นหลักการธรรมดาๆ ในการต่อสู้ด้วย Propaganda เพื่อให้สิ่งที่ตนเอง \"เสียเปรียบ\" กลายเป็นเรื่องที่ \"ได้เปรียบ\" ขึ้นมา โดยการ เบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่นๆ เท่านั้นเอง<br /><br />------------<br /><br />ก็ขอเขียนเพียงเท่านี้ ถ้าท่านจะทำอะไรเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตก็สามารถเริ่มได้จากท่านเป็นคนแรก ท่านอาจจะเป็นผู้ออกแบบตัวอย่าง Profile Cover และเป็นผู้นำในการเผยแพร่ จากนั้น ก็อยู่ที่กระแสทางหน้า Feeds ว่า มันจะขยายออกไปได้ไกลขนาดไหนเอง....<br /><br />ขอแต่เพียงว่า ใจของท่านจะต้องบริสุทธิ์ในการเรียกร้องต่่อเรื่อง \"ความยุติธรรม\" จริงๆ เพราะไม่อย่างนั้น ท่านก็คือ คนที่ หลอกเพื่อนๆ และตนเอง ในเรื่องการกระทำที่ไม่มีความจริงใจแต่อย่างใดทั้งสิ้น......<br /><br />Have a Great Weekend ค่ะ<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/781359628070952969", "published": "2017-11-26T03:24:11+00:00", "source": { "content": "ขอเขียนแบบกลางๆ ธรรมดาๆ เกี่ยวกั่บ ข่าวที่ปรากฎตามหน้า Feeds ในเรื่องการเสียชีวิตของนักเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ดิฉันจะไม่ขอเขียนรายละเอียดใดๆ เพราะท่านคงจะสามารถอ่านจากแหล่งข่าวและตามหน้าเวปได้เอง จากนั้นก็ใช้วิจารณญาณตัดสินเองว่า อะไรเป็นอะไร\n\n\nเท่าที่อ่านเห็นครั้งล่าสุดคือ ทางการทหารประกาศว่า ให้หยุด \"ดราม่า\" เรื่องนี้กันเสียที พูดง่ายๆ ว่า ให้เลิกวิจารณ์ เพราะทุกอย่างจะได้เงียบกริบอย่างที่ต้องการกัน\n\n\n--------\n\nถ้าถามดิฉัน ดิฉันคิดว่า เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้รักประชาธิปไตย หรือ ผู้สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ตาม ต่างก็มีความเห็นตรงกันอย่างหนึ่งคือ การเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต \n\n\nถึงแม้ว่า มันอาจจะมีมุมมองที่ต่างกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ \"เปิดใจ\" รับฟังความเห็นต่างกันได้ และเราก็เห็นฝ่ายที่เข้ามา \"ปกป้อง\" สถาบันการศึกษา ด้วยการ เปรียบเทียบว่า ตนเองเป็นบุคคล \"คนละชนชั้น\" กัน อย่างนั้นเป็นต้น \n\n--------\n\nครั้งสุดท้ายที่ดิฉันจำได้ว่า ทั้งฝ่ายผู้รักประชาธิปไตย และฝ่ายอนุรักษ์นิยม มีความเห็นพ้องกันเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องที่ รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ประกาศออก พรบ \"เหมาเข่ง\" หรือ พรบ \"นิรโทษกรรม\" นั่นแหละ\n\nครั้งนั้น มีการประกาศจุดยืนของแต่ละฝ่าย ซึ่งรวมๆ ก็คือ \"ไม่เอา\" (แต่จุดยืนต่างกันอย่างเห็นได้ชัด) \n\n มีการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ และสร้างโปรไฟล์กัน และ นั่นคือ จุดกำเนิดของ กปปส ซึ่งต่อมา ท่านก็คงทราบดีว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง และสุดท้ายก็คือ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็พังครืนลงไป\n\n-----------\n\nเหตุการณ์เรื่องของโรงเรียนเตรียมทหารนี้ เป็นเรื่องนานๆ ครั้งที่จะเกิด \"จุดร่วม\" แต่มันอยู่ที่ว่า สิทธิการแสดงออกของท่านในการเรียกร้องความยุติธรรม จะทำอย่างไรถึงจะเดินหน้าต่อไปได้ \n\nดิฉันไม่เห็น มีการ \"เปลี่ยนโปรไฟล์\" หรือ สร้าง Icon ขึ้นมาสนับสนุนเรียกร้องหาความยุติธรรม เหมือนตอนเรื่อง พรบ นิรโทษกรรม กัน (คงจะจำกันได้ที่ เป็นตัวอักษรสีขาว พื้นสีดำ เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส แบบตะแคง)\n\n------------\n\nถ้าท่านต้องการเรียกร้อง ความยุติธรรมหรือกับระบบจริงๆ ก็น่าจะสร้าง Icon หรือ Profile Cover ขึ้นมา สร้างคำขวัญที่ต้องการใช้ และเผยแพร่ เพื่อให้ผู้คนทราบและด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม \n\nจากนั้นก็อยู่ที่สติปัญญาและการวิเคราะห์ของแต่ละคนว่า จะ follow through ในเรื่องนี้กันมากน้อยเท่าไร หรือจะให้กลายเป็น คลื่นกระทบฝั่งก็แล้วแต่่\n\n------------\n\nเพราะดิฉันคิดว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้า คงจะมีการ \"สร้างเรื่องใหม่\" ที่ใหญ่กว่า น่าสนใจกว่า และให้สายทหารเขาทำการ เป็นผู้กระจายข่าวเพื่อเปลี่ยนประเด็นและลดความสนใจจากเรื่องนี้ลงไปแทน \n\nมันเป็นหลักการธรรมดาๆ ในการต่อสู้ด้วย Propaganda เพื่อให้สิ่งที่ตนเอง \"เสียเปรียบ\" กลายเป็นเรื่องที่ \"ได้เปรียบ\" ขึ้นมา โดยการ เบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่นๆ เท่านั้นเอง\n\n------------\n\nก็ขอเขียนเพียงเท่านี้ ถ้าท่านจะทำอะไรเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตก็สามารถเริ่มได้จากท่านเป็นคนแรก ท่านอาจจะเป็นผู้ออกแบบตัวอย่าง Profile Cover และเป็นผู้นำในการเผยแพร่ จากนั้น ก็อยู่ที่กระแสทางหน้า Feeds ว่า มันจะขยายออกไปได้ไกลขนาดไหนเอง....\n\nขอแต่เพียงว่า ใจของท่านจะต้องบริสุทธิ์ในการเรียกร้องต่่อเรื่อง \"ความยุติธรรม\" จริงๆ เพราะไม่อย่างนั้น ท่านก็คือ คนที่ หลอกเพื่อนๆ และตนเอง ในเรื่องการกระทำที่ไม่มีความจริงใจแต่อย่างใดทั้งสิ้น......\n\nHave a Great Weekend ค่ะ\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:781359628070952969/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:778611869450510346", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "<a href=\"https://www.minds.com/Doungchampa/blog/north-korea-s-state-approved-hairstyles-778611868091555842\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/Doungchampa/blog/north-korea-s-state-approved-hairstyles-778611868091555842</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/778611869450510346", "published": "2017-11-18T13:25:35+00:00", "source": { "content": "https://www.minds.com/Doungchampa/blog/north-korea-s-state-approved-hairstyles-778611868091555842", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:778611869450510346/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:777746105759703046", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "ถ้าเราจะดูถึงความแฟร์ ในการเขียนข่าว หรือ เขียน Blog ต่างๆ ลงใน \"สื่อ\" ....<br /><br />ก็ขอให้คิด \"ในมุมกลับ\" ว่า ถ้า บุคคลที่อยู่ใน \"ห้องน้ำ\" กลายเป็น \"อีปูว์\" กัน..<br /><br />------ <br /><br />ก็อยากเห็นจริงๆ ว่า \"สื่อ\" จะลงข่าวแบบ \"ขอโทษขอโพย\" ด้วยการอ้างว่า เข้าประชุมทุกๆ เรื่อง แบบนี้กันหรือเปล่า ?<br /><br />อาจจะเห็นการ \"ด่ากันอย่างเผ็ดร้อน\" พร้อมกับ \"คำเหยียดหยาม\" ต่างๆ นานาว่า \"โง่\" บ้าง \"จัญไร\"บ้าง \"เสนียด\" บ้าง จริงหรือไม่?<br /><br />------<br /><br />การเขียนข่าวเป็นเรื่องดี ถ้าเสนอข้อมูลด้วยใจเป็นกลางว่า อะไรเกิดขึ้น (ไม่จำเป็นต้องเขียน Excuse ให้เลย เพราะคนอ่านตัดสินใจกันเองได้)<br /><br />หรือว่า นโยบายของ \"สื่่อ\" คือ ความต้องการเอาน้ำมันราดเข้าไปในกองไฟ เพื่อให้ \"การขายข่าว\" เป็นไปได้อย่างมาก เพื่อเพิ่มยอดการขาย และ/ หรือ ยอดการติดตาม ให้มากขึ้นเป็นลำดับ อย่างนั้นหรือ?<br /><br />------<br /><br />เพราะถ้าการเสนอข่าวที่ตนเองเรียกว่า \"สำนักข่าว\" แต่มีการเขียนลงไปด้วยคอมเม้นท์ของตนเองอย่างเต็มคราบแล้ว มันก็คือ พวก \"Tabloids\" ดีๆ นั่นเอง<br /><br />Tabloids คืออะไร?<br /><br />** Tabloids is a newspaper having pages half the size of those of a standard newspaper, typically popular in style and dominated by headlines, photographs, and sensational stories <br /><br />หนังสือพิมพ์ที่มีขนาดเล็กกว่าปกติครึ่งเท่าตัว และโดยทั่วๆ ไป ได้รับความนิยมจากการเสนอเรื่องราวจากการพาดหัว หรือ โพสต์รูปภาพ รวมไปถึงเรื่องราวอันแสนอื้อฉาว หรือ โลดโผน หรือ ซุบซิบนินทา (เนื้อหาใจความแทบจะพิสูจน์ไม่ได้เลยว่า มีความจริงอยู่น้อยนิด และเขียนกันเอามันส์ เพื่อเพิ่มยอดขาย)<br /><br />------<br /><br />ลองไปดูข่าวจากพวก National Enquirer, the Sun หรือ Daily Mail ฯลฯ ก็คงทราบกันดีว่า จะไปเทียบ Grade กับ Washington Post หรือ New York Times หรือ สำนักข่าว Reuters/ AP คงยากมาก เพราะการเขียนเนื้อหาลงไปใน Tabloids ก็เต็มไปด้วย คอมเม้นท์ความคิดเห็นส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่ จะหาข้อมูลไปอ้างอิงไม่ได้แน่นอน ถ้าจะทำวิทยานิพนธ์ หรือแม้แต่การอ้างอิงใดๆ เพื่อความน่าเชื้อถือ... <br /><br />------<br /><br />หรือว่า สื่อของไทย มันไม่ใช่ News Agencies (สำนักข่าว) แต่กลายเป็น Tabloids เสียส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้ซิ?<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/777746105759703046", "published": "2017-11-16T04:05:17+00:00", "source": { "content": "ถ้าเราจะดูถึงความแฟร์ ในการเขียนข่าว หรือ เขียน Blog ต่างๆ ลงใน \"สื่อ\" ....\n\nก็ขอให้คิด \"ในมุมกลับ\" ว่า ถ้า บุคคลที่อยู่ใน \"ห้องน้ำ\" กลายเป็น \"อีปูว์\" กัน..\n\n------ \n\nก็อยากเห็นจริงๆ ว่า \"สื่อ\" จะลงข่าวแบบ \"ขอโทษขอโพย\" ด้วยการอ้างว่า เข้าประชุมทุกๆ เรื่อง แบบนี้กันหรือเปล่า ?\n\nอาจจะเห็นการ \"ด่ากันอย่างเผ็ดร้อน\" พร้อมกับ \"คำเหยียดหยาม\" ต่างๆ นานาว่า \"โง่\" บ้าง \"จัญไร\"บ้าง \"เสนียด\" บ้าง จริงหรือไม่?\n\n------\n\nการเขียนข่าวเป็นเรื่องดี ถ้าเสนอข้อมูลด้วยใจเป็นกลางว่า อะไรเกิดขึ้น (ไม่จำเป็นต้องเขียน Excuse ให้เลย เพราะคนอ่านตัดสินใจกันเองได้)\n\nหรือว่า นโยบายของ \"สื่่อ\" คือ ความต้องการเอาน้ำมันราดเข้าไปในกองไฟ เพื่อให้ \"การขายข่าว\" เป็นไปได้อย่างมาก เพื่อเพิ่มยอดการขาย และ/ หรือ ยอดการติดตาม ให้มากขึ้นเป็นลำดับ อย่างนั้นหรือ?\n\n------\n\nเพราะถ้าการเสนอข่าวที่ตนเองเรียกว่า \"สำนักข่าว\" แต่มีการเขียนลงไปด้วยคอมเม้นท์ของตนเองอย่างเต็มคราบแล้ว มันก็คือ พวก \"Tabloids\" ดีๆ นั่นเอง\n\nTabloids คืออะไร?\n\n** Tabloids is a newspaper having pages half the size of those of a standard newspaper, typically popular in style and dominated by headlines, photographs, and sensational stories \n\nหนังสือพิมพ์ที่มีขนาดเล็กกว่าปกติครึ่งเท่าตัว และโดยทั่วๆ ไป ได้รับความนิยมจากการเสนอเรื่องราวจากการพาดหัว หรือ โพสต์รูปภาพ รวมไปถึงเรื่องราวอันแสนอื้อฉาว หรือ โลดโผน หรือ ซุบซิบนินทา (เนื้อหาใจความแทบจะพิสูจน์ไม่ได้เลยว่า มีความจริงอยู่น้อยนิด และเขียนกันเอามันส์ เพื่อเพิ่มยอดขาย)\n\n------\n\nลองไปดูข่าวจากพวก National Enquirer, the Sun หรือ Daily Mail ฯลฯ ก็คงทราบกันดีว่า จะไปเทียบ Grade กับ Washington Post หรือ New York Times หรือ สำนักข่าว Reuters/ AP คงยากมาก เพราะการเขียนเนื้อหาลงไปใน Tabloids ก็เต็มไปด้วย คอมเม้นท์ความคิดเห็นส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่ จะหาข้อมูลไปอ้างอิงไม่ได้แน่นอน ถ้าจะทำวิทยานิพนธ์ หรือแม้แต่การอ้างอิงใดๆ เพื่อความน่าเชื้อถือ... \n\n------\n\nหรือว่า สื่อของไทย มันไม่ใช่ News Agencies (สำนักข่าว) แต่กลายเป็น Tabloids เสียส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้ซิ?\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:777746105759703046/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:777358645078794259", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "บทความแปล:<br /><br />ข่าวด่วน: มีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุจริงหรือ? เมื่อพบกระดูกที่ถูกเผา มีอายุ 2,500 ปี พร้อมกับการเปิดให้เห็นการจารึกซึ่งถูกฝังอยู่ใต้พื้นผิวโลกในประเทศจีน<br /><br />(อ้างอิง: BREAKING: Remains of Buddha Found? 2,500-Year-Old Cremated Bones with Revealing Inscription Unearthed in China - <a href=\"http://www.ancient-origins.net/news-history-archaeology/breaking-remains-buddha-found-2500-year-old-cremated-bones-revealing-021714\" target=\"_blank\">http://www.ancient-origins.net/news-history-archaeology/breaking-remains-buddha-found-2500-year-old-cremated-bones-revealing-021714</a>)<br /><br />--------------------------------------<br />ในเรื่องที่อาจจะเป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างมากที่สุดต่อพุทธศาสนิกชนทั่วโลก นักโบราณคดีในประเทศจีนได้ขุดพบกล่องเคลือบดินเผา (เซรามิค – ceramic)อยู่ชิ้นหนึ่ง และในนั้น มีกระดูกของมนุษย์ซึ่งเหลือจากการเผาศพอยู่ พร้อมกับมีคำจารึกกำกับว่า ชิ้นกระดูกเหล่านี้คือพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งทราบกันอีกนามหนึ่งว่า สิทธัตถะ โคตมะ (Siddhārtha Gautama)<br /><br /><br />พระโคตมพุทธเจ้าหรือสิทธัตถะ โคตมะ ซึ่งทราบกันดีว่าคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ “ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง” (Enlightened One) อาจจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจชักจูงมากที่สุดคนหนึ่งซึ่งมาจากประเทศอินเดีย ด้วยการก่อร่างสร้างศาสนาพุทธขึ้นมา มีความเชื่อกันว่า พระองค์ใช้ชีวิตและใข้เวลาเดินทางออกสอนศาสนาเกือบทั้งหมดในภูมิภาคตะวันออกของประเทศอินเดียสมัยโบราณ ระหว่างช่วง ก่อนคริสต์ศักราชที่ 6 ถึง ที่ 4 ตามพระสูตรชื่อว่า มหาปรินิพพานสูตร (Mahaparinibbana Sutta) ในพระไตรปิฏก (Pali Canon) กล่าวว่า เมื่อพระองค์มีอายุ 80 พรรษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า ในไม่ช้า พระองค์จะเสด็จเข้าสู่การปรินิพพาน (Parinirvana) หรือ ในสภาวะสุดท้ายที่เป็นอมตะไปแล้ว (Final Deathless State) และจะละทิ้งสังขารของพระองค์ในเวลานั้น<br /><br /><br />หลังจากพระองค์ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็มีการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ และกล่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุได้ถูกแบ่งออกเป็น 8 ส่วนกับครอบครัวของฝ่ายกษัตริย์ในแคว้นต่างๆ รวมทั้งให้กับพระสาวกของพระองค์ด้วย ตำนานกล่าวว่า หลังจากนั้นอีกหลายศตวรรษต่อมา อัฐิพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้ได้ถูกมาประดิษฐานอยู่กับพระเจ้าอโศกมหาราช (King Askoka) และเข้าไปอยู่ในพระสถูป (Stupas) ทั้งหมด 84,000 แห่ง ส่วนพระบรมสารีริกธาตุที่ยังเหลือในส่วนอื่นๆ ก็ถูกสันนิษฐานว่า ได้มีการนำออกไปสู่ประเทศต่างๆ<br /><br />--------------------------------------<br /><br />การรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า<br /><br />เมื่อเวลาประมาณ 1,000 ปีที่ผ่านมา มีพระภิกษุชาวจีนสองรูป ชื่อว่า Yunjiang และ Zhiming ได้ใช้เวลาประมาณ 2 ทศวรรษในการรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุที่เหลืออยู่ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ถูกแบ่งกระจัดกระจายออกไปทั่วประเทศอินเดีย รวมทั้ง แคว้นรัฐอื่นๆ อีกด้วย<br /><br />เวปไซค์ของ Live Science (<a href=\"https://www.livescience.com/60932-in-photos-cremated-buddha\" target=\"_blank\">https://www.livescience.com/60932-in-photos-cremated-buddha</a>…) รายงานว่า การค้นพบกล่องชิ้นใหม่นี้ ซึ่งได้ขุดขึ้นมาจากมณฑล Jingchuan ในประเทศจีน มีตัวอักษรจารึก ลงวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1013 (พ.ศ. 1556) พร้อมกับคำกล่าวดังนี้คือ:<br />“พระภิกษุ Yunjiang และ Zhimming ของสำนักดอกบัว (Lotus School) ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัด Mañjuśrī ของสำนักสงฆ์ Longxing ในอำเภอ Jingzhou (Jingzhou Prefecture) ได้รวบรวมกระดูกเถ้าถ่านมากกว่า 2,000 ชิ้น ของพระบรมสารีริกธาตุ (śarīra หรือ พระอัฐิ ของพระพุทธเจ้าที่ยังเหล่าอยู่) และรวมไปถึงพระทนต์ (ฟัน) และกระดูก และได้ทำการฝังพระอัฐิเหล่านี้ในห้องโถง Mañjuśrī Hall ของวัดแห่งนี้<br /><br /><br />เพื่อเป็นการสนับสนุนพุทธศาสนา พวกเขาต้องการเก็บรวบรวมพระอัฐิ (พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า) การที่จะสำเร็จสมดังที่ตั้งจุดประสงค์ไว้ พระภิกษุทั้งสองรูปก็ได้ปฎิบัติให้เห็นถึงวิธีการและคำสั่งสอนของศาสนาพุทธ ตลอดทุกช่วงเวลาในชีวิตของพวกเขา ซึ่งนานกว่า 20 ปี บางครั้ง พวกเขาได้รับพระอัฐิจากการบริจาคจากบุคคลอื่นๆ บางครั้ง พวกเขาก็พบพระอัฐิโดยโชคช่วย บางครั้ง พวกเขาต้องซื้อจากสถานที่อื่นๆ และบางครั้ง ก็มีคนมอบพระอัฐิให้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเปี่ยมด้วยศรัทธาจากขั้วหัวใจ” (Wholeheartedness)<br /><br />-----------------------------<br /><br />ตามที่กล่าวโดยเวปไซค์ของ Live Science, นักโบราณคดีหลายท่านได้ชี้ให้เห็นว่า มีกระดูกเถ้าถ่านเของมนุษย์ซึ่งถูกเผาเหลืออยู่ในกล่องเซรามิคใบนั้น และในขณะที่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะกล่าวอย่างมั่นใจว่า สิ่งที่อยู่ในกล่องใบนั้น ที่แท้จริงคือพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระศาสดา สิทธัตถะ โคตรมะก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่แน่นอนว่า ตัวอักษรซึ่งมีอายุ 1 พันปีที่จารึกไว้นั้น ก็เสนอแนะว่า มันควรเป็นเช่นนี้<br /><br /><br />การค้นพบนี้ เกิดขึ้นในครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 ในขณะที่กลุ่มของชาวบ้านกำลังซ่อมถนนอยู่ หลังจากนั้น อีกหลายปีต่อมา นักโบราณคดีได้ทำการขุดในสถานที่แห่งนั้น การค้นพบครั้งอันสำคัญในประวัติศาสตร์ ได้ถูกรายงานให้กับรัฐบาลของประเทศจีนได้ทราบในปี พ.ศ. 2559 ในเวลานี้ ข่าวการค้นพบเชิงตะกอนเถ้าถ่าน ได้ออกสู่ประเทศโลกภายนอกที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ซึ่งตีพิมพ์อยู่ในนิตยสาร Chinese Cultural Relics แล้วด้วยเช่นกัน<br /><br /><br />-----------------------------<br /><br />ความคิดเห็นของผู้แปล:<br /><br />ดิฉันเห็นเรื่องนี้ โพสต์อยู่หน้าเวปของ Ancient Origin และสงวันที่วันนี้ด้วย เลยคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เกี่ยวกับการค้นพบพระอัฐิหรือพระบรมสารีริกธาตุชุดใหญ่จริง ๆ แต่พุทธศาสนิกชน ก็ต้องยึดหลักการของ กาลามสูตรว่า อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ควรจะต้องพินิจพิจาณาให้ถ่องแท้เสียก่อน (ไม่ใช่ไปขอ “เลขเด็ดๆ” อะไรแบบนั้น)<br /><br /><br />ก็หวังว่า เรื่องนี้คงมีการขยายความในอนาคตว่าเป็นอย่างไร หลังจากการค้นพบแล้ว มีการพิสูจน์อะไรให้เห็นว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุอย่างแท้จริง<br /><br /><br />ที่แปลกใจนิดหน่อยคือ ไม่เห็นมีข่าวเรื่องนี้ ในดินแดนที่ 95% ของประชากร นับถือศาสนาพุทธกันเลย แต่กลับเป็นข่าวในประเทศอื่นๆ ทางตะวันตกกันหมด.... (เห็นทางเพจ มีแต่ข่าวการ ห้อยโหน บริจาคเงิน และซื้ออาวุธใหม่กันเต็มไปหมด)<br /><br /><br />ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน Have a Great Wednesday ค่ะ<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/777358645078794259", "published": "2017-11-15T02:25:38+00:00", "source": { "content": "บทความแปล:\n\nข่าวด่วน: มีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุจริงหรือ? เมื่อพบกระดูกที่ถูกเผา มีอายุ 2,500 ปี พร้อมกับการเปิดให้เห็นการจารึกซึ่งถูกฝังอยู่ใต้พื้นผิวโลกในประเทศจีน\n\n(อ้างอิง: BREAKING: Remains of Buddha Found? 2,500-Year-Old Cremated Bones with Revealing Inscription Unearthed in China - http://www.ancient-origins.net/news-history-archaeology/breaking-remains-buddha-found-2500-year-old-cremated-bones-revealing-021714)\n\n--------------------------------------\nในเรื่องที่อาจจะเป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างมากที่สุดต่อพุทธศาสนิกชนทั่วโลก นักโบราณคดีในประเทศจีนได้ขุดพบกล่องเคลือบดินเผา (เซรามิค – ceramic)อยู่ชิ้นหนึ่ง และในนั้น มีกระดูกของมนุษย์ซึ่งเหลือจากการเผาศพอยู่ พร้อมกับมีคำจารึกกำกับว่า ชิ้นกระดูกเหล่านี้คือพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งทราบกันอีกนามหนึ่งว่า สิทธัตถะ โคตมะ (Siddhārtha Gautama)\n\n\nพระโคตมพุทธเจ้าหรือสิทธัตถะ โคตมะ ซึ่งทราบกันดีว่าคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ “ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง” (Enlightened One) อาจจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจชักจูงมากที่สุดคนหนึ่งซึ่งมาจากประเทศอินเดีย ด้วยการก่อร่างสร้างศาสนาพุทธขึ้นมา มีความเชื่อกันว่า พระองค์ใช้ชีวิตและใข้เวลาเดินทางออกสอนศาสนาเกือบทั้งหมดในภูมิภาคตะวันออกของประเทศอินเดียสมัยโบราณ ระหว่างช่วง ก่อนคริสต์ศักราชที่ 6 ถึง ที่ 4 ตามพระสูตรชื่อว่า มหาปรินิพพานสูตร (Mahaparinibbana Sutta) ในพระไตรปิฏก (Pali Canon) กล่าวว่า เมื่อพระองค์มีอายุ 80 พรรษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า ในไม่ช้า พระองค์จะเสด็จเข้าสู่การปรินิพพาน (Parinirvana) หรือ ในสภาวะสุดท้ายที่เป็นอมตะไปแล้ว (Final Deathless State) และจะละทิ้งสังขารของพระองค์ในเวลานั้น\n\n\nหลังจากพระองค์ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็มีการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ และกล่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุได้ถูกแบ่งออกเป็น 8 ส่วนกับครอบครัวของฝ่ายกษัตริย์ในแคว้นต่างๆ รวมทั้งให้กับพระสาวกของพระองค์ด้วย ตำนานกล่าวว่า หลังจากนั้นอีกหลายศตวรรษต่อมา อัฐิพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้ได้ถูกมาประดิษฐานอยู่กับพระเจ้าอโศกมหาราช (King Askoka) และเข้าไปอยู่ในพระสถูป (Stupas) ทั้งหมด 84,000 แห่ง ส่วนพระบรมสารีริกธาตุที่ยังเหลือในส่วนอื่นๆ ก็ถูกสันนิษฐานว่า ได้มีการนำออกไปสู่ประเทศต่างๆ\n\n--------------------------------------\n\nการรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า\n\nเมื่อเวลาประมาณ 1,000 ปีที่ผ่านมา มีพระภิกษุชาวจีนสองรูป ชื่อว่า Yunjiang และ Zhiming ได้ใช้เวลาประมาณ 2 ทศวรรษในการรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุที่เหลืออยู่ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ถูกแบ่งกระจัดกระจายออกไปทั่วประเทศอินเดีย รวมทั้ง แคว้นรัฐอื่นๆ อีกด้วย\n\nเวปไซค์ของ Live Science (https://www.livescience.com/60932-in-photos-cremated-buddha…) รายงานว่า การค้นพบกล่องชิ้นใหม่นี้ ซึ่งได้ขุดขึ้นมาจากมณฑล Jingchuan ในประเทศจีน มีตัวอักษรจารึก ลงวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1013 (พ.ศ. 1556) พร้อมกับคำกล่าวดังนี้คือ:\n“พระภิกษุ Yunjiang และ Zhimming ของสำนักดอกบัว (Lotus School) ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัด Mañjuśrī ของสำนักสงฆ์ Longxing ในอำเภอ Jingzhou (Jingzhou Prefecture) ได้รวบรวมกระดูกเถ้าถ่านมากกว่า 2,000 ชิ้น ของพระบรมสารีริกธาตุ (śarīra หรือ พระอัฐิ ของพระพุทธเจ้าที่ยังเหล่าอยู่) และรวมไปถึงพระทนต์ (ฟัน) และกระดูก และได้ทำการฝังพระอัฐิเหล่านี้ในห้องโถง Mañjuśrī Hall ของวัดแห่งนี้\n\n\nเพื่อเป็นการสนับสนุนพุทธศาสนา พวกเขาต้องการเก็บรวบรวมพระอัฐิ (พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า) การที่จะสำเร็จสมดังที่ตั้งจุดประสงค์ไว้ พระภิกษุทั้งสองรูปก็ได้ปฎิบัติให้เห็นถึงวิธีการและคำสั่งสอนของศาสนาพุทธ ตลอดทุกช่วงเวลาในชีวิตของพวกเขา ซึ่งนานกว่า 20 ปี บางครั้ง พวกเขาได้รับพระอัฐิจากการบริจาคจากบุคคลอื่นๆ บางครั้ง พวกเขาก็พบพระอัฐิโดยโชคช่วย บางครั้ง พวกเขาต้องซื้อจากสถานที่อื่นๆ และบางครั้ง ก็มีคนมอบพระอัฐิให้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเปี่ยมด้วยศรัทธาจากขั้วหัวใจ” (Wholeheartedness)\n\n-----------------------------\n\nตามที่กล่าวโดยเวปไซค์ของ Live Science, นักโบราณคดีหลายท่านได้ชี้ให้เห็นว่า มีกระดูกเถ้าถ่านเของมนุษย์ซึ่งถูกเผาเหลืออยู่ในกล่องเซรามิคใบนั้น และในขณะที่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะกล่าวอย่างมั่นใจว่า สิ่งที่อยู่ในกล่องใบนั้น ที่แท้จริงคือพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระศาสดา สิทธัตถะ โคตรมะก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่แน่นอนว่า ตัวอักษรซึ่งมีอายุ 1 พันปีที่จารึกไว้นั้น ก็เสนอแนะว่า มันควรเป็นเช่นนี้\n\n\nการค้นพบนี้ เกิดขึ้นในครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 ในขณะที่กลุ่มของชาวบ้านกำลังซ่อมถนนอยู่ หลังจากนั้น อีกหลายปีต่อมา นักโบราณคดีได้ทำการขุดในสถานที่แห่งนั้น การค้นพบครั้งอันสำคัญในประวัติศาสตร์ ได้ถูกรายงานให้กับรัฐบาลของประเทศจีนได้ทราบในปี พ.ศ. 2559 ในเวลานี้ ข่าวการค้นพบเชิงตะกอนเถ้าถ่าน ได้ออกสู่ประเทศโลกภายนอกที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ซึ่งตีพิมพ์อยู่ในนิตยสาร Chinese Cultural Relics แล้วด้วยเช่นกัน\n\n\n-----------------------------\n\nความคิดเห็นของผู้แปล:\n\nดิฉันเห็นเรื่องนี้ โพสต์อยู่หน้าเวปของ Ancient Origin และสงวันที่วันนี้ด้วย เลยคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เกี่ยวกับการค้นพบพระอัฐิหรือพระบรมสารีริกธาตุชุดใหญ่จริง ๆ แต่พุทธศาสนิกชน ก็ต้องยึดหลักการของ กาลามสูตรว่า อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ควรจะต้องพินิจพิจาณาให้ถ่องแท้เสียก่อน (ไม่ใช่ไปขอ “เลขเด็ดๆ” อะไรแบบนั้น)\n\n\nก็หวังว่า เรื่องนี้คงมีการขยายความในอนาคตว่าเป็นอย่างไร หลังจากการค้นพบแล้ว มีการพิสูจน์อะไรให้เห็นว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุอย่างแท้จริง\n\n\nที่แปลกใจนิดหน่อยคือ ไม่เห็นมีข่าวเรื่องนี้ ในดินแดนที่ 95% ของประชากร นับถือศาสนาพุทธกันเลย แต่กลับเป็นข่าวในประเทศอื่นๆ ทางตะวันตกกันหมด.... (เห็นทางเพจ มีแต่ข่าวการ ห้อยโหน บริจาคเงิน และซื้ออาวุธใหม่กันเต็มไปหมด)\n\n\nก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน Have a Great Wednesday ค่ะ\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:777358645078794259/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:775916744073027596", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "บทความแปล: ครูฝึกนาวิกโยธินถูกตัดสินจำคุก 10 ปี โทษฐานทารุณกรรมกับทหารฝึกใหม่ <br /><br />(อ้างอิง: Marine drill instructor gets 10 years for abusing recruits - <a href=\"http://abcnews.go.com/US/wireStory/marine-drill-instructor-convicted-abusing-recruits-51057335\" target=\"_blank\">http://abcnews.go.com/US/wireStory/marine-drill-instructor-convicted-abusing-recruits-51057335</a>)<br /><br />---------------------------------------------------<br /><br />ครูฝึกทหารฝึกใหม่จากกองทัพนาวิกโยธิน (Marine Corps - <a href=\"http://abcnews.go.com/topics/news/us/marine-corps.htm\" target=\"_blank\">http://abcnews.go.com/topics/news/us/marine-corps.htm</a>) ถูกตัดสินเมื่อวันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน ให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี โทษฐานบีบรัดคอ, ต่อยทุบตี และสร้างประสบการณ์อันเลวร้ายอย่างทุกข์ทรมานให้กับทหารฝึกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทหารฝึกใหม่ผู้นับถือศาสนาอิสลามสามคน – และในท้ายที่สุด หนึ่งในทหารฝึกใหม่ชุดนั้นก็ทำการอัตวินิบาตกรรมด้วยการกระโจนลงมาจากปล่องบันได<br /><br />ทางคณะลูกขุนของศาลทหารได้แถลงข่าวการลงโทษจ่าประจำหมวด โจเซฟ ฟีลิกซ์ (Gunnery Sergeant Joseph Felix) หลังจากวันตัดสินว่ากระทำความผิดเพียงวันเดียว ในโทษฐานทารุณกรรมกับทหารฝึกใหม่มากกว่า 12 คน ที่ค่ายฝึกของกองทัพนาวิกโยธิน (Marine Boot Camp) ที่เกาะแพร์ริส (Parris Island) รัฐ เซาท์ คาร์โรไลน่า (South Carolina)<br /><br />นอกจากเรื่องอื่นๆ ที่กล่าวมา ตัวของ Gunnery Sgt Felix เอง ก็ยังได้ทำการยั่วยุสบประมาทผู้นับถือศาสนาอิสลามว่า เป็น “ผู้ก่อการร้าย” (Terrorist) หรือ คลุกคลีอยู่กับกลุ่ม ISIS และยังออกคำสั่งให้ทหารฝึกใหม่ผู้นับถือศาสนาอิสลามสองคน ปีนขึ้นเข้าไปในเครื่องอบผ้าแห้ง และปั่นเครื่องที่กำลังทำงานอยู่จนเผิวไหม้เกรียม จนกว่าเขาจะประกาศสละความเชื่อทางศาสนาของเขา เรื่องนี้เป็นการแถลงการณ์จากคณะลูกขุน<br /><br />---------------------<br /><br />Gunnery Sgt Felix มีอายุ 34 ปี และเป็นทหารผ่านศึกจากสงครามในประเทศอีรัก ก็ถูกสั่งให้งดการจ่ายเบี้ยหวัดบำนาญทั้งหมด และถูกปลดยศให้เหลืออยู่ในขั้นพลทหาร (Private) และถูกไล่ออกจากหน้าที่เนื่องจากการกระทำอันแสนชั่วช้าเลวทรามที่สุด (Dishonorable Discharge)<br /><br />Felix เป็นตัวเด่นที่สุดในเรื่องที่มีการพบแบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นกับกลุ่มที่ถูกทารุณกรรมโดยพวกครูฝึกที่เกาะ Parris หลังจากการฆ่าตัวตายในฐานทัพเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 แล้ว การสอบสวนเกี่ยวกับการรับน้องแบบซ้อมอย่างทารุณ (Hazing) ก็นำไปสู่การตั้งข้อหากับ Felix รวมไปถึงครูฝึกคนอื่นๆ อีก 5 คน และผู้ควบคุมศูนย์การฝึกของกองพัน (Battalion) อีกด้วย บุคลากรอื่นๆ อีก 11 คนต้องเผชิญกับข้อหาที่เบากว่าของ Felix<br /><br />คณะครูฝึกผู้ทำการทารุณกรรมเหล่านี้ ต่างก็มีลักษณะนิสัยใจคอเหมือนกับที่อ่านกันตามหนังสือต่างๆ และรวมไปถึงภาพยนตร์เรื่อง Full Metal Jacket ด้วย แต่ในภาพยนตร์ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2530 นั้น ภาพยนตร์มีพื้นเพมากจากสงครามเวียดนาม (Vietnam War - <a href=\"http://abcnews.go.com/topics/news/history/vietnam-war.htm\" target=\"_blank\">http://abcnews.go.com/topics/news/history/vietnam-war.htm</a>) และการพิพากศสชอง Felix เอง ก็แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา <br /><br />------------<br /><br />ทางกองทัพนาวิกโยธิน สามารถแยกแยะให้เห็นเส้นแบ่งความถูกต้องไว้ได้อย่างชัดเจนว่า ครูฝึกสามารถกระทำ หรือ ไม่สามารถกระทำการฝึกแบบใดได้กับทหารฝึกใหม่ กล่าวโดย Michael Hanzel ซึ่งเป็นอดีตทนายความของกองทัพเรือ ที่ได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการพิจารณาคดีมาก่อนที่ค่าย Lejeune รัฐ North Carolina<br /><br />“ในยุคสมัยปัจจุบ้น มันมีเรื่องที่ผมคิดว่า เราควรที่จะเน้นโฟกัสให้เห็นกันอย่างได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการพิจารณาคดีคคีนี้ มันมีการกล่าวเรียกชื่อเสียงเรียงนาม ซึ่งมีรากฐานจากความเชื่อในศาสนาของพวกเขา และทำให้ทหารฝึกใหม่เหล่านี้ กลายเป็นเป้าการโจมตี ซึ่งเกิดจากการนับถือศาสนาของพวกเขา” กล่าวโดยคุณ Hanzel และเป็นทนายความเอกชนที่เน้นในเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับกฎหมายของฝ่ายทหาร “ผมไม่คิดว่า จะมีใครสักคนกล่าวว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ เพียงแต่ว่า มันไม่มีการฟ้องร้องเกิดขึ้นในอดีต เหมือนกับอย่างเวลานี้เท่านั้นเอง”<br /><br />---------------<br /><br />ข้อกล่าวหาที่มีต่อ Felix รวมไปถึง การออกคำสั่งให้ทหารฝึกใหม่ทำการบีบคอและเขย่าลำคอซึ่งกันและกัน; รวมไปถึงการออกคำสั่งให้ทหารฝึกใหม่เหล่านั้นดื่มนมชอคโกแลทจนเต็มกระและบังคับให้ทำการฝึกทันที จนกระทั่งพวกเขาต้องอาเจียนออกมา; และมีการต่อยหน้าทหารฝึกใหม่ หรือ ถีบเตะพวกเขาจนล้มคว่ำลงไปสู่พื้นดิน<br /><br />“เขาไม่ได้สร้างทหารเพื่อเตรียมให้เป็นนักรบของกองทัพนาวิกโยธินเลย เขาต่างหากที่เป็นผู้ทำลายกองทัพนาวิกโยธิน” กล่าวโดยอัยการ พันโท John Norman กับคณะลูกขุนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เขาเรียก Felix ว่าเป็นพวกคนพาล (Bully) ซึ่งสะสมการทารุณกรรมอย่างพิเศษขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับทหารฝึกใหม่ผู้นับถือศาสนาอิสลามทั้งสมคน เนื่องจากว่าพวกเขานับถือศาสนาต่างไปจากทหารฝึกใหม่คนอื่นๆ<br /><br />หนึ่งในทหารฝึกใหม่ชื่อว่า Raheel Siddiqui ซึ่งมีอายุ 20 ปีและเป็นพลเมืองอเมริกันสัญชาติปากีสถาน จากเมือง Taylor รัฐ Michigan ต้องส่งตัวเขาไปสู่ความตาย หลังจากที่ทางคณะลูกขุนตัดสินว่า Felix ได้ปฎิบัติอย่างเลวทราม ซึ่งรวมไปถึงการตบใบหน้าของ Siddiqui และเรียกเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ทางครอบครัวของ Siddiqui ก็ทำการฟ้องร้องต่อกองทัพนาวิกโยธินเมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมกับให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 100 ล้านดอลล่าร์ (3,300 ล้านบาท)<br /><br />----------------------<br /><br />ทางรัฐบาลไม่ได้ฟ้อง Felix เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรมใดๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับความตายของทหารฝึกใหม่ Siddiqui ตัวผู้พิพากษาคือ พันโท Michael Libretto ไม่อนุญาตให้มีการนำเอาพยานหลักฐานใดๆ เข้ามาพิจารณา ว่า การกระทำของ Felix นั้น จะต้องรับผิดชอบต่อการฆ่าตัวตายของทหารฝึกใหม่หรือไม่<br /><br />Felix เองยังถูกตัดสินว่ากระทำความผิดอีกกระทงหนึ่ง จากการออกคำสั่งให้ สิบโท Ameer Bourmeche เข้าไปอยู่ในตู้อบผ้า ซึ่งในเวลานั้น ทำการเปิดทำงานอยู่ตามที่ Felix ถามว่า “มึงยังเป็นมุสลิมอยู่หรือเปล่า?” และ สิบโท Bourmeche ก็ให้การว่า เขายืนยันความเชื่อทางศาสนาของเขาถึงสองครั้ง และ Felix กับครูฝึกอีกคนหนึ่ง ก็โยนเขาเข้าไปในเครื่องอบผ้าทั้งสองครั้ง และเขาก็ต้องเกลือกกลิ้งจนผิวไหม้เกรียม และช้ำเลือดช้ำหนองอยู่ในเครื่องอบผ้านั้น <br /><br />หลังจากการเข้าไปอยู่ในเครื่องอบผ้าครั้งที่สาม สิบโท Bourmeche กล่าวว่า เขามีความหวาดกลัวต่อชีวิตเขา และในที่สุดก็ตัดสินใจประกาศสละการนับถือศาสนาอิสลามของเขา เขากล่าวต่อว่า จากนั้น ครูฝึกทั้งสองคนก็อนุญาตให้เขาออกมาจากเครื่องอบผ้าได้<br /><br />------------------------<br /><br />Felix ถูกตัดสินว่ากระทำความผิด รวมทั้งการออกคำสั่งให้ สิบโท Bourmeche แสดงการสาธิตด้วยการแสร้างตัดศีรษะของทหารฝึกใหม่นาวิกโยธินด้วยกัน พร้อมกับให้ท่องบทสวดมนต์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่” (God is Great) ในภาษาอาระบิค<br /><br />คณะลูกขุน ลงความเห็นต่อว่า Felix ยังได้ออกคำสั่งกับ Rekan Hawez ซึ่งเป็นทหารฝึกใหม่ชาว Kurdistan จากประเทศอิรัค (อ้างอิง: <a href=\"http://abcnews.go.com/topics/news/iraq/iraqi-kurdistan.htm\" target=\"_blank\">http://abcnews.go.com/topics/news/iraq/iraqi-kurdistan.htm</a>) ให้ปีนเข้าไปในเครื่องอบผ้า แต่เครื่องอบผ้าก็ไม่ได้เปิดทำงานแต่อย่างใด<br /><br />Felix ยังถูกตัดสินว่ากระทำความผิดอีกกระทงหนึ่ง จากการปลุกให้ทหารฝึกใหม่อย่างน้อย 24 คน ต้องตื่นจากการหลับนอน ด้วยการออกคำสั่งให้พวกเขาลงไปนอนกับพื้น จากนั้น ก็ไปเดินบนลำตัวของพวกเขาพร้อมๆ กับครูฝึกอีกสองคนด้วย<br /><br />ในการปิดคำแถลงการณ์เมื่อวันพุธ ทนายฝ่ายจำเลยคือ นาวาตรี Daniel Bridges (Navy Lt. Commander) กล่าวว่า ทางฝ่ายรัฐบาลสร้างภาพและสถานการณ์อย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งต่างกันกับคำให้การของพยาน ให้กลายเป็นคดีเกี่ยวกับ ครูฝึกผู้มีพละกำลังแข็งแรงซึ่งเรียกทหารฝึกใหม่ทุกๆ คนว่า เป็น “ผู้ก่อการร้าย” กัน<br /><br />------------------------------------<br /><br />ความคิดเห็นของผู้แปล:<br /><br />หมายเหตุ: ดิฉันแปลคำว่า Recruits ว่า .\"ทหารเกณฑ์\" แต่จริงๆ ใน US เป็นทหารที่สมัครเข้ามาเอง ไม่มีการเกณฑ์หรือบังคับว่าจะต้องเป็นทหารกัน พวกนี้ อาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารอย่างเต็มใจ อาจจะใช้คำว่า ทหารใหม่ก็ได้ แต่บางคนก็ Recruits เข้ามาหลายปีแล้ว ก็ไม่น่าจะเป็น \"ทหารใหม่\" ถ้าพบคำเหมาะๆ จะแก้ไขให้หมดค่ะ<br /><br />-------------------------------------<br /><br />คดีนี้ จะกลายเป็นคดีตัวอย่างให้กับครูฝึกทุกๆ คน ในกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งปฏิบัติต่อทหารฝึกใหม่อย่างทารุณกรรมมากๆ เมื่ออ่านแล้ว ก็เห็นว่า ทหารฝึกใหม่ไม่ตายฟรี เพราะสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามตัวบทกฎหมายได้<br /><br />ทหารฝึกใหม่ใน US ไม่มีการนำตัวไป “รับใช้” นายทหารที่ไหน เพราะถือว่า การกินเงินเดือนภาษีประชาชน จะไปทำแบบนั้นไม่ได้ และเมื่อมีการทารุณกรรมเกิดขึ้น ทางสื่อต่างๆ จะต้องดูความยุติธรรม ในการเสนอข่าว (ไม่ใช่กลบข่าว) จากนั้น เรื่องต่างๆ ก็แดงออกมา และนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมในที่สุด<br /><br />การ Abuse และทารุณกรรม มีอยู่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนๆ แต่สิ่งที่สำคัญคือ มันมีกระบวนการนำเอาผู้กระทำผิดเข้ามาลงโทษตามตัวบทกฎหมายได้ ไม่ใช่ใช้อำนาจอิทธิพลปิดปาก และสื่อต่างๆ ก็กลับกลายเป็นผู้ช่วยปกป้องผู้กระทำความผิดไป ด้วยการรายงานเท็จ หรือ ปิดปากไม่รายงานอะไรเลย จนคนที่ตาย ก็ตายฟรีนั่นเอง<br /><br />และบุคคลแบบนี้ ถ้ายังไม่มีใครสามารถนำมาลงโทษตามกฎหมายได้ ก็สามารถสร้างอิทธิพล และ กร่าง ต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่ประการใด สังคมก็ลุกเป็นไฟ เพราะทางการยังปกป้องบุคคลแบบนี้อยู่ตลอดเวลา <br /><br />หวังว่า บทความนี้ คงจะได้ข้อคิดอะไรบ้างนะคะ<br /><br />Have a Great Weekend ค่ะ<br /><br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/775916744073027596", "published": "2017-11-11T02:56:03+00:00", "source": { "content": "บทความแปล: ครูฝึกนาวิกโยธินถูกตัดสินจำคุก 10 ปี โทษฐานทารุณกรรมกับทหารฝึกใหม่ \n\n(อ้างอิง: Marine drill instructor gets 10 years for abusing recruits - http://abcnews.go.com/US/wireStory/marine-drill-instructor-convicted-abusing-recruits-51057335)\n\n---------------------------------------------------\n\nครูฝึกทหารฝึกใหม่จากกองทัพนาวิกโยธิน (Marine Corps - http://abcnews.go.com/topics/news/us/marine-corps.htm) ถูกตัดสินเมื่อวันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน ให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี โทษฐานบีบรัดคอ, ต่อยทุบตี และสร้างประสบการณ์อันเลวร้ายอย่างทุกข์ทรมานให้กับทหารฝึกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทหารฝึกใหม่ผู้นับถือศาสนาอิสลามสามคน – และในท้ายที่สุด หนึ่งในทหารฝึกใหม่ชุดนั้นก็ทำการอัตวินิบาตกรรมด้วยการกระโจนลงมาจากปล่องบันได\n\nทางคณะลูกขุนของศาลทหารได้แถลงข่าวการลงโทษจ่าประจำหมวด โจเซฟ ฟีลิกซ์ (Gunnery Sergeant Joseph Felix) หลังจากวันตัดสินว่ากระทำความผิดเพียงวันเดียว ในโทษฐานทารุณกรรมกับทหารฝึกใหม่มากกว่า 12 คน ที่ค่ายฝึกของกองทัพนาวิกโยธิน (Marine Boot Camp) ที่เกาะแพร์ริส (Parris Island) รัฐ เซาท์ คาร์โรไลน่า (South Carolina)\n\nนอกจากเรื่องอื่นๆ ที่กล่าวมา ตัวของ Gunnery Sgt Felix เอง ก็ยังได้ทำการยั่วยุสบประมาทผู้นับถือศาสนาอิสลามว่า เป็น “ผู้ก่อการร้าย” (Terrorist) หรือ คลุกคลีอยู่กับกลุ่ม ISIS และยังออกคำสั่งให้ทหารฝึกใหม่ผู้นับถือศาสนาอิสลามสองคน ปีนขึ้นเข้าไปในเครื่องอบผ้าแห้ง และปั่นเครื่องที่กำลังทำงานอยู่จนเผิวไหม้เกรียม จนกว่าเขาจะประกาศสละความเชื่อทางศาสนาของเขา เรื่องนี้เป็นการแถลงการณ์จากคณะลูกขุน\n\n---------------------\n\nGunnery Sgt Felix มีอายุ 34 ปี และเป็นทหารผ่านศึกจากสงครามในประเทศอีรัก ก็ถูกสั่งให้งดการจ่ายเบี้ยหวัดบำนาญทั้งหมด และถูกปลดยศให้เหลืออยู่ในขั้นพลทหาร (Private) และถูกไล่ออกจากหน้าที่เนื่องจากการกระทำอันแสนชั่วช้าเลวทรามที่สุด (Dishonorable Discharge)\n\nFelix เป็นตัวเด่นที่สุดในเรื่องที่มีการพบแบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นกับกลุ่มที่ถูกทารุณกรรมโดยพวกครูฝึกที่เกาะ Parris หลังจากการฆ่าตัวตายในฐานทัพเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 แล้ว การสอบสวนเกี่ยวกับการรับน้องแบบซ้อมอย่างทารุณ (Hazing) ก็นำไปสู่การตั้งข้อหากับ Felix รวมไปถึงครูฝึกคนอื่นๆ อีก 5 คน และผู้ควบคุมศูนย์การฝึกของกองพัน (Battalion) อีกด้วย บุคลากรอื่นๆ อีก 11 คนต้องเผชิญกับข้อหาที่เบากว่าของ Felix\n\nคณะครูฝึกผู้ทำการทารุณกรรมเหล่านี้ ต่างก็มีลักษณะนิสัยใจคอเหมือนกับที่อ่านกันตามหนังสือต่างๆ และรวมไปถึงภาพยนตร์เรื่อง Full Metal Jacket ด้วย แต่ในภาพยนตร์ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2530 นั้น ภาพยนตร์มีพื้นเพมากจากสงครามเวียดนาม (Vietnam War - http://abcnews.go.com/topics/news/history/vietnam-war.htm) และการพิพากศสชอง Felix เอง ก็แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา \n\n------------\n\nทางกองทัพนาวิกโยธิน สามารถแยกแยะให้เห็นเส้นแบ่งความถูกต้องไว้ได้อย่างชัดเจนว่า ครูฝึกสามารถกระทำ หรือ ไม่สามารถกระทำการฝึกแบบใดได้กับทหารฝึกใหม่ กล่าวโดย Michael Hanzel ซึ่งเป็นอดีตทนายความของกองทัพเรือ ที่ได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการพิจารณาคดีมาก่อนที่ค่าย Lejeune รัฐ North Carolina\n\n“ในยุคสมัยปัจจุบ้น มันมีเรื่องที่ผมคิดว่า เราควรที่จะเน้นโฟกัสให้เห็นกันอย่างได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการพิจารณาคดีคคีนี้ มันมีการกล่าวเรียกชื่อเสียงเรียงนาม ซึ่งมีรากฐานจากความเชื่อในศาสนาของพวกเขา และทำให้ทหารฝึกใหม่เหล่านี้ กลายเป็นเป้าการโจมตี ซึ่งเกิดจากการนับถือศาสนาของพวกเขา” กล่าวโดยคุณ Hanzel และเป็นทนายความเอกชนที่เน้นในเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับกฎหมายของฝ่ายทหาร “ผมไม่คิดว่า จะมีใครสักคนกล่าวว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ เพียงแต่ว่า มันไม่มีการฟ้องร้องเกิดขึ้นในอดีต เหมือนกับอย่างเวลานี้เท่านั้นเอง”\n\n---------------\n\nข้อกล่าวหาที่มีต่อ Felix รวมไปถึง การออกคำสั่งให้ทหารฝึกใหม่ทำการบีบคอและเขย่าลำคอซึ่งกันและกัน; รวมไปถึงการออกคำสั่งให้ทหารฝึกใหม่เหล่านั้นดื่มนมชอคโกแลทจนเต็มกระและบังคับให้ทำการฝึกทันที จนกระทั่งพวกเขาต้องอาเจียนออกมา; และมีการต่อยหน้าทหารฝึกใหม่ หรือ ถีบเตะพวกเขาจนล้มคว่ำลงไปสู่พื้นดิน\n\n“เขาไม่ได้สร้างทหารเพื่อเตรียมให้เป็นนักรบของกองทัพนาวิกโยธินเลย เขาต่างหากที่เป็นผู้ทำลายกองทัพนาวิกโยธิน” กล่าวโดยอัยการ พันโท John Norman กับคณะลูกขุนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เขาเรียก Felix ว่าเป็นพวกคนพาล (Bully) ซึ่งสะสมการทารุณกรรมอย่างพิเศษขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับทหารฝึกใหม่ผู้นับถือศาสนาอิสลามทั้งสมคน เนื่องจากว่าพวกเขานับถือศาสนาต่างไปจากทหารฝึกใหม่คนอื่นๆ\n\nหนึ่งในทหารฝึกใหม่ชื่อว่า Raheel Siddiqui ซึ่งมีอายุ 20 ปีและเป็นพลเมืองอเมริกันสัญชาติปากีสถาน จากเมือง Taylor รัฐ Michigan ต้องส่งตัวเขาไปสู่ความตาย หลังจากที่ทางคณะลูกขุนตัดสินว่า Felix ได้ปฎิบัติอย่างเลวทราม ซึ่งรวมไปถึงการตบใบหน้าของ Siddiqui และเรียกเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ทางครอบครัวของ Siddiqui ก็ทำการฟ้องร้องต่อกองทัพนาวิกโยธินเมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมกับให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 100 ล้านดอลล่าร์ (3,300 ล้านบาท)\n\n----------------------\n\nทางรัฐบาลไม่ได้ฟ้อง Felix เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรมใดๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับความตายของทหารฝึกใหม่ Siddiqui ตัวผู้พิพากษาคือ พันโท Michael Libretto ไม่อนุญาตให้มีการนำเอาพยานหลักฐานใดๆ เข้ามาพิจารณา ว่า การกระทำของ Felix นั้น จะต้องรับผิดชอบต่อการฆ่าตัวตายของทหารฝึกใหม่หรือไม่\n\nFelix เองยังถูกตัดสินว่ากระทำความผิดอีกกระทงหนึ่ง จากการออกคำสั่งให้ สิบโท Ameer Bourmeche เข้าไปอยู่ในตู้อบผ้า ซึ่งในเวลานั้น ทำการเปิดทำงานอยู่ตามที่ Felix ถามว่า “มึงยังเป็นมุสลิมอยู่หรือเปล่า?” และ สิบโท Bourmeche ก็ให้การว่า เขายืนยันความเชื่อทางศาสนาของเขาถึงสองครั้ง และ Felix กับครูฝึกอีกคนหนึ่ง ก็โยนเขาเข้าไปในเครื่องอบผ้าทั้งสองครั้ง และเขาก็ต้องเกลือกกลิ้งจนผิวไหม้เกรียม และช้ำเลือดช้ำหนองอยู่ในเครื่องอบผ้านั้น \n\nหลังจากการเข้าไปอยู่ในเครื่องอบผ้าครั้งที่สาม สิบโท Bourmeche กล่าวว่า เขามีความหวาดกลัวต่อชีวิตเขา และในที่สุดก็ตัดสินใจประกาศสละการนับถือศาสนาอิสลามของเขา เขากล่าวต่อว่า จากนั้น ครูฝึกทั้งสองคนก็อนุญาตให้เขาออกมาจากเครื่องอบผ้าได้\n\n------------------------\n\nFelix ถูกตัดสินว่ากระทำความผิด รวมทั้งการออกคำสั่งให้ สิบโท Bourmeche แสดงการสาธิตด้วยการแสร้างตัดศีรษะของทหารฝึกใหม่นาวิกโยธินด้วยกัน พร้อมกับให้ท่องบทสวดมนต์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่” (God is Great) ในภาษาอาระบิค\n\nคณะลูกขุน ลงความเห็นต่อว่า Felix ยังได้ออกคำสั่งกับ Rekan Hawez ซึ่งเป็นทหารฝึกใหม่ชาว Kurdistan จากประเทศอิรัค (อ้างอิง: http://abcnews.go.com/topics/news/iraq/iraqi-kurdistan.htm) ให้ปีนเข้าไปในเครื่องอบผ้า แต่เครื่องอบผ้าก็ไม่ได้เปิดทำงานแต่อย่างใด\n\nFelix ยังถูกตัดสินว่ากระทำความผิดอีกกระทงหนึ่ง จากการปลุกให้ทหารฝึกใหม่อย่างน้อย 24 คน ต้องตื่นจากการหลับนอน ด้วยการออกคำสั่งให้พวกเขาลงไปนอนกับพื้น จากนั้น ก็ไปเดินบนลำตัวของพวกเขาพร้อมๆ กับครูฝึกอีกสองคนด้วย\n\nในการปิดคำแถลงการณ์เมื่อวันพุธ ทนายฝ่ายจำเลยคือ นาวาตรี Daniel Bridges (Navy Lt. Commander) กล่าวว่า ทางฝ่ายรัฐบาลสร้างภาพและสถานการณ์อย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งต่างกันกับคำให้การของพยาน ให้กลายเป็นคดีเกี่ยวกับ ครูฝึกผู้มีพละกำลังแข็งแรงซึ่งเรียกทหารฝึกใหม่ทุกๆ คนว่า เป็น “ผู้ก่อการร้าย” กัน\n\n------------------------------------\n\nความคิดเห็นของผู้แปล:\n\nหมายเหตุ: ดิฉันแปลคำว่า Recruits ว่า .\"ทหารเกณฑ์\" แต่จริงๆ ใน US เป็นทหารที่สมัครเข้ามาเอง ไม่มีการเกณฑ์หรือบังคับว่าจะต้องเป็นทหารกัน พวกนี้ อาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารอย่างเต็มใจ อาจจะใช้คำว่า ทหารใหม่ก็ได้ แต่บางคนก็ Recruits เข้ามาหลายปีแล้ว ก็ไม่น่าจะเป็น \"ทหารใหม่\" ถ้าพบคำเหมาะๆ จะแก้ไขให้หมดค่ะ\n\n-------------------------------------\n\nคดีนี้ จะกลายเป็นคดีตัวอย่างให้กับครูฝึกทุกๆ คน ในกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งปฏิบัติต่อทหารฝึกใหม่อย่างทารุณกรรมมากๆ เมื่ออ่านแล้ว ก็เห็นว่า ทหารฝึกใหม่ไม่ตายฟรี เพราะสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามตัวบทกฎหมายได้\n\nทหารฝึกใหม่ใน US ไม่มีการนำตัวไป “รับใช้” นายทหารที่ไหน เพราะถือว่า การกินเงินเดือนภาษีประชาชน จะไปทำแบบนั้นไม่ได้ และเมื่อมีการทารุณกรรมเกิดขึ้น ทางสื่อต่างๆ จะต้องดูความยุติธรรม ในการเสนอข่าว (ไม่ใช่กลบข่าว) จากนั้น เรื่องต่างๆ ก็แดงออกมา และนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมในที่สุด\n\nการ Abuse และทารุณกรรม มีอยู่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนๆ แต่สิ่งที่สำคัญคือ มันมีกระบวนการนำเอาผู้กระทำผิดเข้ามาลงโทษตามตัวบทกฎหมายได้ ไม่ใช่ใช้อำนาจอิทธิพลปิดปาก และสื่อต่างๆ ก็กลับกลายเป็นผู้ช่วยปกป้องผู้กระทำความผิดไป ด้วยการรายงานเท็จ หรือ ปิดปากไม่รายงานอะไรเลย จนคนที่ตาย ก็ตายฟรีนั่นเอง\n\nและบุคคลแบบนี้ ถ้ายังไม่มีใครสามารถนำมาลงโทษตามกฎหมายได้ ก็สามารถสร้างอิทธิพล และ กร่าง ต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่ประการใด สังคมก็ลุกเป็นไฟ เพราะทางการยังปกป้องบุคคลแบบนี้อยู่ตลอดเวลา \n\nหวังว่า บทความนี้ คงจะได้ข้อคิดอะไรบ้างนะคะ\n\nHave a Great Weekend ค่ะ\n\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:775916744073027596/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:761384497429094405", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "บทความแปล: สิงค์โปร์แอร์ไลน์สามารถเข้ามากอบกู้นกแอร์ได้หรือไม่?<br /><br />(อ้างอิง: -Could Singapore Airlines Fly To Rescue Of Thailand's Nok Air? - <a href=\"https://www.forbes.com/sites/martinrivers/2017/09/30/could-singapore-airlines-fly-to-rescue-of-thailands-nok-air/#2073c0062914\" target=\"_blank\">https://www.forbes.com/sites/martinrivers/2017/09/30/could-singapore-airlines-fly-to-rescue-of-thailands-nok-air/#2073c0062914</a>)<br /><br />---------------------------------------------------------<br /><br />อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท นกแอร์ เชื่อว่า บริษัทเก่าของเขาต้องการหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic partner) เพื่อให้คงลอยตัวอยู่ได้ และนั่นหมายความว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines) อาจจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วย ถ้าบริษัทการบินไทย (Thai Airways International หรือ THAI) ยุติการช่วยเหลือทางการเงินออกไป<br /><br />“ผู้ถือหุ้นได้มีการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ระหว่างพวกเขาเองกันแล้ว” คุณพาที สารสินให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากนิตยสาร Forbes เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทีบริษัทการบินไทยจะละเว้นต่อการเพิ่มทุน (Recapitalization) จำนวน 1,700 ล้านบาท ($51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ให้กับบริษัทนกแอร์ “ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในเวลานี้, ไม่รวมถึงผู้ถือหุ้นของบริษัทการบินไทย, ได้กล่าวว่า พวกเขาจะรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมดเอง ถ้าบริษัทการบินไทยไม่ต้องการที่จะร่วมมือช่วยในเรื่องนี้”<br /><br />---------------------<br /><br />ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คุณพาทีกล่าวว่า บริษัทนกแอร์จะเริ่มแสวงหาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ใหม่ “ที่สามารถให้ความรู้เชิงปฎิบัติการได้” เขายืนยันต่อว่า Singapore Airlines ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในปัจจุบันด้วยการลงุทนระยะยาวโดยผ่านบริษัทสายการบินต้นทุนต่ำ (Low-cost)ชื่อ นกสกู้ท (NokScoot) ซึ่งจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะถูกคัดเข้ามาพิจารณา<br /><br />“เราพูดคุยกับ Singapore Airlines ทุกสิ่งทุกอย่างโดยเสมอมา เป็นที่เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ผมเห็นด้วยกับเรื่องของ NokScoot เป็นอย่างดีด้วย เนื่องจากผมมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับคนภายใน Singapore Airlines เอง” คุณพาทีกล่าวไม่นานนักหลังจากที่ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทนกแอร์ และกำลังเข้าไปรับตำแหน่งใหม่เป็นรองประธานกรรมการของบริษัทนกแอร์อยู่ “มีการพิจารณาสำรวจเรื่องต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับอนาคตกันอยู่เสมอ ซึ่งเราสามารถทำร่วมกันได้ เป็นที่เห็นได้ชัดว่า คนของ Singapore Airlines ก็พยายามให้ความแน่ใจว่า การบริหารของ NokScoot จะต้องประสบผลสำเร็จ .. ผมคิดว่า พวกเขาทำงานกันได้เป็นอย่างดีเยี่ยมจริงๆ”<br /><br />เมื่อถูกถามว่า ผู้ลงทุนคนใหม่ๆ นั้น จะต้องมีพื้นเพหรือประวัติเกี่ยวกับเรื่องการบินมาก่อนหรือไม่ เขาตอบว่า “ในมุมมองของผมเอง มันจะเป็นเรื่องดีกว่ามาก ถ้าผู้ลงทุนชุดใหม่เป็นสายการบิน เพราะว่า มันจะก่อให้เกิดเรื่องความประหยัดโดยเพิ่มขนาด (Economies of Scale) และยังมีเรื่องของวินัยต่างๆ ในอนาคตรวมอยู่ด้วย”<br /><br />---------------------<br /><br />การลาออกจากตำแหน่งของคุณพาที ตามมาด้วยเรื่องของความล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทนกแอร์ กับ บริษัทการบินไทย ซึ่งบริษัทการบินไทยเอง ได้ตอบปฎิเสธที่จะมีส่วนร่วมในการเสนอการซื้อหุ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การสละสิทธิ์ละเว้นในเรื่องนี้ ซึ่งทำให้จำนวนหุ้นที่ถือโดยบริษัทการบินไทยในบริษัทนกแอร์ ลดลงจาก 39.2% ไปเหลืออยู่ที่ 21.57% แทน และในท่ามกลางเรื่องเหล่านี้ ก็ยังมีรายงานออกมาว่า บริษัทหลักเอง (บริษัทการบินไทย) สูญเสียความเชื่อมั่นในแผนการของบริษัทนกแอร์ที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับคืนมาสู่สภาวะปกติได้<br /><br />บริษัทนกแอร์ จมดิ่งด้วยยอดขาดทุนเป็นประวัติการณ์จำนวน 2,800 ล้านบาท เมื่อปีที่แล้ว จากสถานการณ์ที่โซเซจากการสู้กับการแข่งขันเรื่องราคากับกลุ่มสายการบินในประเทศไทย และรวมไปถึงผลพวงที่สะท้อนให้เห็นกี่ยวกับเรื่องจำนวนนักบินไม่เพียงพอในการปฎิบัติการอีกด้วย<br /><br />สิ่งที่บ่งบอกให้เห็นในตอนแรกๆ คือ ความเต็มใจของบริษัทการบินไทยที่จะช่วยเหลือบริษัทนกแอร์เกี่ยวกับเรื่องการเงินนั้น ได้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่การแต่งตั้งคุณปิยะ ยอดมณี ซึ่งเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ NokScoot มาแทนตำแหน่งของคุณพาที ตัวแทนของบริษัทการบินไทย ต่างก็ยกมือเห็นชอบกับการเพิ่มทุนที่กำลังจะใกล้มาถึงให้กับบริษัทนกแอร์ เมื่อตอนที่มีการประชุมผู้ถือหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา (สัปดาห์ที่สี่ของเดือนกันยายน) และเป็นการชี้ให้เห็นว่า บริษัทการบินไทย อาจจะพยุงกิจการที่ตนเองมีส่วนได้ส่วนเสียไว้ ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปให้อีกเป็นจำนวน 367.5 ล้านบาท<br /><br />---------------------<br /><br />อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ Bangkok Post อ้างว่า “มีความแคลงใจเป็นอย่างสูง” (Strong doubts – อ้างอิง: <a href=\"https://www.bangkokpost.com/business/tourism-and-transport/1328099/thai-gives-cautious-ok-to-nok-air-plan\" target=\"_blank\">https://www.bangkokpost.com/business/tourism-and-transport/1328099/thai-gives-cautious-ok-to-nok-air-plan</a>) ว่า บริษัทการบินไทยจะมีความอยากกระหายต่อการลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ บทความของ Bangkok Post อ้างอิงคำพูดของ ปลัดกระทรวงการคลัง คือ ดร.สมขัย สัจจพงษ์ ซึ่งเป็นปลัดกระทรวงการคลัง และกระทรวงการคลังเอง ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทการบินไทยอยู่ ด้วยคำกล่าวที่ว่า ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับเรื่องการสนับสนุนช่วยเหลือทางการเงินให้กับบริษัทนกแอร์<br /><br />ผู้ถือหุ้นต้องตัดสินใจโดยเด็ดขาด เกี่ยวกับจำนวนหุ้นและราคาต่างๆ ภายในกลางเดือนตุลาคมนี้<br /><br />---------------------<br /><br />บริษัทการบินไทย และ Singapore Airlines ต่างก็เป็นคู่แข่งซึ่งกันและกันในพื้นที่ทางภูมิภาคและทางนานาชาติ แต่ก็มีประวัติเกี่ยวกับการร่วมมือในทางธุรกิจกันมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน ในปี พ.ศ. 2553 บริษัททั้งสองประสบความล้มเหลวในการที่จะเปิดสายการบินราคาต้นทุนต่ำบริษัทใหม่ขึ้นมา ภายใต้เครื่องหมายการค้าของสายการบิน TigerAir ของสิงคโปร์ ในเวลาต่อมา Singapore Airlines ได้รับภาระเกี่ยวกับการดำเนินการของ TigerAir เข้ามาอยู่ใน Scoot ซึ่งเป็นบริษัทสาขาย่อยของสายการบินต้นทุนต่ำ และกลายเป็นบริษัทในเครือของตนเองไป<br /><br />บริษัทการบินไทยและ Singapore Airlines ต่างก็ร่วมมือกันด้วยการเป็นสมาชิกของกลุ่ม Star Alliance และผ่านด้วยการถือหุ้นของ NokScoot ซึ่ง 49% ถือหุ้นโดย Scoot และอีก 49% ถือหุ้นโดยบริษัทนกแอร์<br /><br />---------------------<br /><br />ความคิดเห็นของผู้แปล:<br /><br />เห็นบทความนี้เมื่อสองวันที่แล้ว ก็เลยนำมาลงให้อ่านกัน<br />เนื่องจากตัวดิฉันเอง ไม่มีความรู้รายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นต่างๆ ของไทย จึงไม่ขอคอมเม้นท์ใดๆ <br /><br />เอาเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ และ ดิฉันมีความแปลกใจมากๆ ว่า ทำไมบริษัทการบินพลเรือนต่างๆ ในประเทศไทย ถึงทำกำไรกันไม่ได้จริงๆ หรือ?<br />เราเห็นข่าวที่ต้องมีการ อุ้มบริษัทการบินไทย ซึ่งประสบการขาดทุนมาทุกๆ ปี พอเห็นข่าวนี้ ก็เรื่องของ นกแอร์อีก ซึ่งสงสัยมากๆ ว่า ทำไมบริษัทการบินถึงปราศจากผลกำไรกัน?<br /><br />แต่มาดูบริษัทอย่าง แอร์เอเชีย ซึ่งเป็น Low-cost airlines เหมือนกัน ได้ข่าวว่า ทำกำไรได้ดีทุกๆ ปี แถมสามารถขยายกิจการเขตการบินออกไปเรื่อยๆ เมื่อไม่นานอ่านข่าวว่า จะเข้าไปลงที่ Hawaii หรือแม้แต่ coastal cities อย่าง Los Angeles หรือ San Francisco ด้วย<br /><br />-----------------<br /><br />จากข่าวชิ้นนี้ ถ้าบริษัทการบินไทย นำเงินไปช่วยบริษัทนกแอร์ มันก็เหมือนกับว่า เอาเงินส่วนที่รัฐช่วยเหลือบริษัทการบินไทย ไปช่วยบริษัทนกแอร์ด้วยหรือเปล่า? และเมื่อบริษัทนกแอร์ขาดทุนมากขนาดนี้ ก็หมายความว่า ทั้งการบินไทยและนกแอร์ ต่างก็ขาดทุนทั้งคู่ใช่หรือไม่? แล้วจะเอาเงินมากขนาดไหนไปสนับสนุน<br /><br />ถ้าจำไม่ผิด เงินที่มาช่วยอุ้มการบินไทย ก็คือ เงินภาษีประชาชนอีกใช่ไหม?<br /><br />ดิฉันไม่เคยใช้บริการของบริษัทการบินทั้งสองนี้ ก็เลยไม่ทราบว่า ราคาค่าตั๋วโดยสาร และค่าบริการต่างๆ มันต่างกันกับสายการบินอื่นๆ มากน้อยแค่ไหน และสภาพภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทย เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการขาดทุนแบบนี้หรือเปล่า?<br /><br />อยากทราบเหมือนกันว่า ผู้ถือหุ้นของนกแอร์จะหาทางออกอย่างไร<br /><br />---------------------<br /><br />แต่สมมติว่า จะให้สายการบินระดับโลกอย่าง Singapore Airlines เข้ามาบริหาร ก็คิดว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงมากมายจริงๆ เพราะสายการบิน Singapore Airlines นั้น เขาทำงานเป็น World Class และภายใต้การกำกับการของ Singapore Airlines อาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบแบบคนไทยเท่าไร เพราะคิดว่า เขาเอาจริงเอาจังมากๆ รวมทั้ง การเอาชื่อเสียงของเขามาเสี่ยงในเรื่องนี้ด้วย<br /><br />แต่ถ้าหากว่า Singapore Airlines เข้ามาบริหาร แล้วเกิดกลายไปว่า มีผลกำไรเกิดขึ้น มันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการคัดเลือกตัวบุคคลผู้บริหารของไทยแล้วว่า มีปัญหาแบบไหนบ้าง <br /><br />เพราะฉะนั้น คงจะอยู่ที่การตัดสินใจของผู้ถือหุ้นของบริษัทนกแอร์ มากกว่า ที่จะให้บริษัทการบินไทยเข้ามาช่วย หรือ ลองโยนไปให้ Singapore Airlines บริหารดู<br /><br />---------------------<br /><br />และหวังว่าคงจะไม่ได้ยินเรื่อง “ขายชาติ” อะไรกันอีก เพราะ bottom line ของกิจการแบบนี้ก็คือ You have to make money ค่ะ สั้นๆ และตรงประเด็นที่สุด<br /><br />Happy Monday ค่ะ", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/761384497429094405", "published": "2017-10-02T00:30:07+00:00", "source": { "content": "บทความแปล: สิงค์โปร์แอร์ไลน์สามารถเข้ามากอบกู้นกแอร์ได้หรือไม่?\n\n(อ้างอิง: -Could Singapore Airlines Fly To Rescue Of Thailand's Nok Air? - https://www.forbes.com/sites/martinrivers/2017/09/30/could-singapore-airlines-fly-to-rescue-of-thailands-nok-air/#2073c0062914)\n\n---------------------------------------------------------\n\nอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท นกแอร์ เชื่อว่า บริษัทเก่าของเขาต้องการหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic partner) เพื่อให้คงลอยตัวอยู่ได้ และนั่นหมายความว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines) อาจจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วย ถ้าบริษัทการบินไทย (Thai Airways International หรือ THAI) ยุติการช่วยเหลือทางการเงินออกไป\n\n“ผู้ถือหุ้นได้มีการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ระหว่างพวกเขาเองกันแล้ว” คุณพาที สารสินให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากนิตยสาร Forbes เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทีบริษัทการบินไทยจะละเว้นต่อการเพิ่มทุน (Recapitalization) จำนวน 1,700 ล้านบาท ($51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ให้กับบริษัทนกแอร์ “ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในเวลานี้, ไม่รวมถึงผู้ถือหุ้นของบริษัทการบินไทย, ได้กล่าวว่า พวกเขาจะรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมดเอง ถ้าบริษัทการบินไทยไม่ต้องการที่จะร่วมมือช่วยในเรื่องนี้”\n\n---------------------\n\nในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คุณพาทีกล่าวว่า บริษัทนกแอร์จะเริ่มแสวงหาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ใหม่ “ที่สามารถให้ความรู้เชิงปฎิบัติการได้” เขายืนยันต่อว่า Singapore Airlines ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในปัจจุบันด้วยการลงุทนระยะยาวโดยผ่านบริษัทสายการบินต้นทุนต่ำ (Low-cost)ชื่อ นกสกู้ท (NokScoot) ซึ่งจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะถูกคัดเข้ามาพิจารณา\n\n“เราพูดคุยกับ Singapore Airlines ทุกสิ่งทุกอย่างโดยเสมอมา เป็นที่เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ผมเห็นด้วยกับเรื่องของ NokScoot เป็นอย่างดีด้วย เนื่องจากผมมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับคนภายใน Singapore Airlines เอง” คุณพาทีกล่าวไม่นานนักหลังจากที่ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทนกแอร์ และกำลังเข้าไปรับตำแหน่งใหม่เป็นรองประธานกรรมการของบริษัทนกแอร์อยู่ “มีการพิจารณาสำรวจเรื่องต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับอนาคตกันอยู่เสมอ ซึ่งเราสามารถทำร่วมกันได้ เป็นที่เห็นได้ชัดว่า คนของ Singapore Airlines ก็พยายามให้ความแน่ใจว่า การบริหารของ NokScoot จะต้องประสบผลสำเร็จ .. ผมคิดว่า พวกเขาทำงานกันได้เป็นอย่างดีเยี่ยมจริงๆ”\n\nเมื่อถูกถามว่า ผู้ลงทุนคนใหม่ๆ นั้น จะต้องมีพื้นเพหรือประวัติเกี่ยวกับเรื่องการบินมาก่อนหรือไม่ เขาตอบว่า “ในมุมมองของผมเอง มันจะเป็นเรื่องดีกว่ามาก ถ้าผู้ลงทุนชุดใหม่เป็นสายการบิน เพราะว่า มันจะก่อให้เกิดเรื่องความประหยัดโดยเพิ่มขนาด (Economies of Scale) และยังมีเรื่องของวินัยต่างๆ ในอนาคตรวมอยู่ด้วย”\n\n---------------------\n\nการลาออกจากตำแหน่งของคุณพาที ตามมาด้วยเรื่องของความล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทนกแอร์ กับ บริษัทการบินไทย ซึ่งบริษัทการบินไทยเอง ได้ตอบปฎิเสธที่จะมีส่วนร่วมในการเสนอการซื้อหุ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การสละสิทธิ์ละเว้นในเรื่องนี้ ซึ่งทำให้จำนวนหุ้นที่ถือโดยบริษัทการบินไทยในบริษัทนกแอร์ ลดลงจาก 39.2% ไปเหลืออยู่ที่ 21.57% แทน และในท่ามกลางเรื่องเหล่านี้ ก็ยังมีรายงานออกมาว่า บริษัทหลักเอง (บริษัทการบินไทย) สูญเสียความเชื่อมั่นในแผนการของบริษัทนกแอร์ที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับคืนมาสู่สภาวะปกติได้\n\nบริษัทนกแอร์ จมดิ่งด้วยยอดขาดทุนเป็นประวัติการณ์จำนวน 2,800 ล้านบาท เมื่อปีที่แล้ว จากสถานการณ์ที่โซเซจากการสู้กับการแข่งขันเรื่องราคากับกลุ่มสายการบินในประเทศไทย และรวมไปถึงผลพวงที่สะท้อนให้เห็นกี่ยวกับเรื่องจำนวนนักบินไม่เพียงพอในการปฎิบัติการอีกด้วย\n\nสิ่งที่บ่งบอกให้เห็นในตอนแรกๆ คือ ความเต็มใจของบริษัทการบินไทยที่จะช่วยเหลือบริษัทนกแอร์เกี่ยวกับเรื่องการเงินนั้น ได้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่การแต่งตั้งคุณปิยะ ยอดมณี ซึ่งเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ NokScoot มาแทนตำแหน่งของคุณพาที ตัวแทนของบริษัทการบินไทย ต่างก็ยกมือเห็นชอบกับการเพิ่มทุนที่กำลังจะใกล้มาถึงให้กับบริษัทนกแอร์ เมื่อตอนที่มีการประชุมผู้ถือหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา (สัปดาห์ที่สี่ของเดือนกันยายน) และเป็นการชี้ให้เห็นว่า บริษัทการบินไทย อาจจะพยุงกิจการที่ตนเองมีส่วนได้ส่วนเสียไว้ ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปให้อีกเป็นจำนวน 367.5 ล้านบาท\n\n---------------------\n\nอย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ Bangkok Post อ้างว่า “มีความแคลงใจเป็นอย่างสูง” (Strong doubts – อ้างอิง: https://www.bangkokpost.com/business/tourism-and-transport/1328099/thai-gives-cautious-ok-to-nok-air-plan) ว่า บริษัทการบินไทยจะมีความอยากกระหายต่อการลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ บทความของ Bangkok Post อ้างอิงคำพูดของ ปลัดกระทรวงการคลัง คือ ดร.สมขัย สัจจพงษ์ ซึ่งเป็นปลัดกระทรวงการคลัง และกระทรวงการคลังเอง ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทการบินไทยอยู่ ด้วยคำกล่าวที่ว่า ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับเรื่องการสนับสนุนช่วยเหลือทางการเงินให้กับบริษัทนกแอร์\n\nผู้ถือหุ้นต้องตัดสินใจโดยเด็ดขาด เกี่ยวกับจำนวนหุ้นและราคาต่างๆ ภายในกลางเดือนตุลาคมนี้\n\n---------------------\n\nบริษัทการบินไทย และ Singapore Airlines ต่างก็เป็นคู่แข่งซึ่งกันและกันในพื้นที่ทางภูมิภาคและทางนานาชาติ แต่ก็มีประวัติเกี่ยวกับการร่วมมือในทางธุรกิจกันมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน ในปี พ.ศ. 2553 บริษัททั้งสองประสบความล้มเหลวในการที่จะเปิดสายการบินราคาต้นทุนต่ำบริษัทใหม่ขึ้นมา ภายใต้เครื่องหมายการค้าของสายการบิน TigerAir ของสิงคโปร์ ในเวลาต่อมา Singapore Airlines ได้รับภาระเกี่ยวกับการดำเนินการของ TigerAir เข้ามาอยู่ใน Scoot ซึ่งเป็นบริษัทสาขาย่อยของสายการบินต้นทุนต่ำ และกลายเป็นบริษัทในเครือของตนเองไป\n\nบริษัทการบินไทยและ Singapore Airlines ต่างก็ร่วมมือกันด้วยการเป็นสมาชิกของกลุ่ม Star Alliance และผ่านด้วยการถือหุ้นของ NokScoot ซึ่ง 49% ถือหุ้นโดย Scoot และอีก 49% ถือหุ้นโดยบริษัทนกแอร์\n\n---------------------\n\nความคิดเห็นของผู้แปล:\n\nเห็นบทความนี้เมื่อสองวันที่แล้ว ก็เลยนำมาลงให้อ่านกัน\nเนื่องจากตัวดิฉันเอง ไม่มีความรู้รายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นต่างๆ ของไทย จึงไม่ขอคอมเม้นท์ใดๆ \n\nเอาเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ และ ดิฉันมีความแปลกใจมากๆ ว่า ทำไมบริษัทการบินพลเรือนต่างๆ ในประเทศไทย ถึงทำกำไรกันไม่ได้จริงๆ หรือ?\nเราเห็นข่าวที่ต้องมีการ อุ้มบริษัทการบินไทย ซึ่งประสบการขาดทุนมาทุกๆ ปี พอเห็นข่าวนี้ ก็เรื่องของ นกแอร์อีก ซึ่งสงสัยมากๆ ว่า ทำไมบริษัทการบินถึงปราศจากผลกำไรกัน?\n\nแต่มาดูบริษัทอย่าง แอร์เอเชีย ซึ่งเป็น Low-cost airlines เหมือนกัน ได้ข่าวว่า ทำกำไรได้ดีทุกๆ ปี แถมสามารถขยายกิจการเขตการบินออกไปเรื่อยๆ เมื่อไม่นานอ่านข่าวว่า จะเข้าไปลงที่ Hawaii หรือแม้แต่ coastal cities อย่าง Los Angeles หรือ San Francisco ด้วย\n\n-----------------\n\nจากข่าวชิ้นนี้ ถ้าบริษัทการบินไทย นำเงินไปช่วยบริษัทนกแอร์ มันก็เหมือนกับว่า เอาเงินส่วนที่รัฐช่วยเหลือบริษัทการบินไทย ไปช่วยบริษัทนกแอร์ด้วยหรือเปล่า? และเมื่อบริษัทนกแอร์ขาดทุนมากขนาดนี้ ก็หมายความว่า ทั้งการบินไทยและนกแอร์ ต่างก็ขาดทุนทั้งคู่ใช่หรือไม่? แล้วจะเอาเงินมากขนาดไหนไปสนับสนุน\n\nถ้าจำไม่ผิด เงินที่มาช่วยอุ้มการบินไทย ก็คือ เงินภาษีประชาชนอีกใช่ไหม?\n\nดิฉันไม่เคยใช้บริการของบริษัทการบินทั้งสองนี้ ก็เลยไม่ทราบว่า ราคาค่าตั๋วโดยสาร และค่าบริการต่างๆ มันต่างกันกับสายการบินอื่นๆ มากน้อยแค่ไหน และสภาพภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทย เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการขาดทุนแบบนี้หรือเปล่า?\n\nอยากทราบเหมือนกันว่า ผู้ถือหุ้นของนกแอร์จะหาทางออกอย่างไร\n\n---------------------\n\nแต่สมมติว่า จะให้สายการบินระดับโลกอย่าง Singapore Airlines เข้ามาบริหาร ก็คิดว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงมากมายจริงๆ เพราะสายการบิน Singapore Airlines นั้น เขาทำงานเป็น World Class และภายใต้การกำกับการของ Singapore Airlines อาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบแบบคนไทยเท่าไร เพราะคิดว่า เขาเอาจริงเอาจังมากๆ รวมทั้ง การเอาชื่อเสียงของเขามาเสี่ยงในเรื่องนี้ด้วย\n\nแต่ถ้าหากว่า Singapore Airlines เข้ามาบริหาร แล้วเกิดกลายไปว่า มีผลกำไรเกิดขึ้น มันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการคัดเลือกตัวบุคคลผู้บริหารของไทยแล้วว่า มีปัญหาแบบไหนบ้าง \n\nเพราะฉะนั้น คงจะอยู่ที่การตัดสินใจของผู้ถือหุ้นของบริษัทนกแอร์ มากกว่า ที่จะให้บริษัทการบินไทยเข้ามาช่วย หรือ ลองโยนไปให้ Singapore Airlines บริหารดู\n\n---------------------\n\nและหวังว่าคงจะไม่ได้ยินเรื่อง “ขายชาติ” อะไรกันอีก เพราะ bottom line ของกิจการแบบนี้ก็คือ You have to make money ค่ะ สั้นๆ และตรงประเด็นที่สุด\n\nHappy Monday ค่ะ", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:761384497429094405/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:761031640750235648", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "บทความแปล: จำนวนงานในรัฐบาลรัฐแคลิฟอร์เนียเพิ่มขึ้น เนื่องจากกัญชาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกกฎหมายไปแล้ว <br /><br />(อ้างอิง: Government jobs sprouting as legal pot looms in California - <a href=\"https://www.washingtonpost.com/national/government-jobs-sprouting-as-legal-pot-looms-in-california/2017/09/30/8be9bf08-a5ed-11e7-b573-8ec86cdfe1ed_story.html\" target=\"_blank\">https://www.washingtonpost.com/national/government-jobs-sprouting-as-legal-pot-looms-in-california/2017/09/30/8be9bf08-a5ed-11e7-b573-8ec86cdfe1ed_story.html</a>)<br /><br />----------------------------------<br /><br />นครลอส แองเจิลลีส: ตำแหน่งหน้าที่การงานมีอาชีพการเป็น นักวิทยาศาสตร์, ผู้ทำการเก็บภาษีอากร, พนักงานป้อนพิมพ์ข้อมูลเข้าสู่ระบบ, ผู้ชำนาญการวิเคราะห์, นักกฎหมาย และนักวิทยาศาสตร์อีกหลายสาขา<br /><br />การใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ (Recreational marijuana) จะกลายเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมายเมื่อเริ่มต้นปี พ.ศ. 2561 และเรื่องหนึ่งที่เริ่มงอกเงยในอุตสาหกรรมที่เพิ่งผุดขึ้นมานี้ ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องดอกไม้ใบหญ้าสีเขียวแต่อย่างใด – แต่มันกลายเป็น ตำแหน่งการงานภายในรัฐบาลต่างหาก<br /><br />ในเวลานี้ ทางรัฐบาลของรัฐแคลิฟอร์เนียกำลังอยู่ในช่วงระยะของการประกาศว่าจ้างบุคลากร เพื่อเข้าไปประจำตำแหน่ง และท้ายที่สุดแล้ว ก็จะมีตำแหน่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในรัฐบาลนับหลายร้อยตำแหน่ง ภายในปี พ.ศ. 2562 และจุดประสงค์ก็เพื่อ นำเอาเรื่องของความถูกต้องตามกฎหมายในการเสพกัญชามาปฏิบัติใช้ต่อการช่วยเหลือเรื่องทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ทำการเฝ้ามองสังเกตการณ์ว่า อะไรจะแทรกซึมเข้ามาสู่กระแสของการเจริญเติบโตเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับกัญชา ด้วยการตรวจสอบเช็คประวัติพื้นเพเบื้องหลังชองผู้ประกอบการขายผลผลิตต่างๆ ซึ่งต้องการใบอนุญาตการค้าขายจากรัฐบาล และมีการคาดหวังกันว่า จะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนนับพันตำแหน่ง ที่จะเข้าไปเพิ่มสู่ส่วนงานในรัฐบาลส่วนท้องถิ่นต่างๆ อีกด้วย<br /><br />การขยายตัวของระบบทางการอย่างรวดเร็ว เป็นตัวแทนให้เห็นเพียงมุมมองเดียวในเรื่องของการท้าทายอันยุ่งยากสลับซับซ้อน ที่ทางรัฐแคลิฟอร์เนียต้องเผชิญหน้าอยู่: เมื่อเดือนมกราคมที่กำลังจะมาถึงนี้ ทางการของรัฐจะรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ (Medical Cannabis) ไปเข้ากับกลุ่มของการใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ ให้เข้ามาอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เรื่องนี้ทำให้กลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา ในเรื่องของการค้าขายกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย<br /><br />----------------------------------<br /><br />เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีพนักงานที่ทำงานเต็มเวลาทั้งหมดเพียงแค่ 11 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทราบกันในปัจจุบันว่า เป็นหน่วยงานของกองควบคุมกัญชา (Bureau of Cannabis Control) หัวหน้าผู้ออกระเบียบควบคุมองค์กรของรัฐ เป็นผู้กำกับดูแลตลาดการซื้อขายกัญชาทั้งหมด ในเวลานี้ จำนวนพนักงานได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตัว และในเดือนกุมภาพันธ์ของปี พ.ศ. 2561 นี้ ทางองค์กรคาดหวังว่า จะมีพนักงานเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 100 คน<br /><br />เนื่องจากว่า พนักงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสถานที่ทำงานแห่งเก่า ก็คับแคบลงไปตามตัว ดังนั้น ทางองค์กรก็เริ่มทำการย้ายหน่วยงานไปตั้งอยู่ ณ สถานที่แห่งใหม่ในปลายปีนี้ เป็นที่คาดหวังกันว่า ในท้ายที่สุดแล้ว หน่วยงานสาขาต่างๆ ก็จะขยายตัวไปอยู่ทั่วทุกแห่งภายในรัฐ<br /><br />ยังมีตำแหน่งงานอีกเป็นจำนวนนับสิบๆ ตำแหน่ง ที่เพิ่มขึ้นมา เพื่อทำการออกใบอนุญาตให้กับผู้ค้าขาย, ผู้ทำการเพาะปลูก, ผู้ขับรถบรรทุกเพื่อส่งผลิตภัณฑ์, บริษัทผู้ทำการผลิต และอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันกับอุตสาหกรรมที่คาดหมายว่าจะมีมูลค่ามากถึง 7 พันล้านเหรียญ (231,000 ล้านบาท) ทางรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็เริ่มใช้การโฆษณาผ่าน Facebook เพื่อล่อตาล่อใจให้กับผู้สมัครงานทั้งหลายด้วย<br /><br />---------------------------------<br /><br />ทางกองควบคุมกัญชา ได้ใช้ส่วนหนึ่งของวิดิโอที่แสดงโดยคุณจิม แคร์รี่ (Jim Carrey) ซึ่งใช้นิ้วมือของเขากระแทกลงไปบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ เพื่อทำให้ผู้ที่คาดหวังว่าจะสมัครงานออนไลน์เข้ามา ได้สะดุดหยุดชมข้อความเหล่านี้ มันอ่านหน้าจอได้ว่า “กรอกใบสมัครไปส่งโดยเร็ว .. ก่อนที่นายคนนี้จะแซงหน้าคุณไปก่อนนะ”<br /><br />ยังมีโพสต์ตามมาอีกว่า “งานใหม่ๆ ก็อยู่ตรงหน้าแล้วนะ.... เรากำลังทำการว่าจ้างอยู่”<br /><br />งบประมาณของรัฐบาลรัฐแคลิฟอร์เนียปีนี้ ประกอบด้วยเงินจำนวน $100 ล้านดอลล่าร์ (3,300 ล้านบาท) เพื่อเป็นกองทุนสำหรับโครงการออกกฎระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องกัญชา ซึ่งรวมไปถึงบุคลากรในการตรวจตราและเป็นผู้ออกใบอนุญาต รวมถึงเผ้ามองสถานะของสิ่งแวดล้อมและการออกบังคับใช้กฎหมายอีกด้วย<br /><br />การเตรียมตัวว่าจ้างการทำงานในปี พ.ศ. 2561 นี้จะรวมไปถึง หน่วยงานอีกหลายแห่งของรัฐ: บุคลากรจำนวน 50 คนจะถูกส่งเข้าไปทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข (ของรัฐ), 65 คนถูกกำหนดห้ไปร่วมอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการควบคุมทรัพยากรน้ำ และพนักงานใหม่อีกจำนวน 60 คนก็ถูกคาดหวังว่าจะไปทำงานอยู่ที่กระทรวงอาหารและการเกษตร (Food and Agriculture) ซึ่งจะเป็นผู้กำกับดูแลเรื่องใบอนุญาตให้กับเกษตรกรซึ่งทำการเก็บเกี่ยวพืชผล<br /><br />---------------------------------------<br /><br />ตำแหน่งงานบางตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาก<br /><br />นักวิทยาศาสตร์ในสาขาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จะมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการสร้างมาตรฐานเกี่ยวกับการปลูกกัญชาใกล้กับลำธารสายน้ำ, พร้อมกับสร้างความมั่นใจต่อการใช้ปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงว่า จะต้องไม่สร้างความเสียหายต่อน้ำหรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อปลา ส่วนนักวิศวกรจะเป็นผู้ทำการตรวจตราดูแลเรื่องน้ำบาดาล (Groundwater) และน้ำที่ถูกเปลี่ยนกระแสเส้นทางออกมา เพื่อใช้ในการบำรุงต้นพืชเหล่านั้น ส่วนความต้องการบุคลากรทางด้านกฎหมาย ก็เพื่อช่วยทำการคัดแยกประเด็นต่างๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก รวมไปถึงเรื่องกฎหมายของรัฐ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสับสนในเรื่องของสิ่งแวดล้อมต่างๆ <br /><br />เงินตอบแทนรายปีจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง แต่มันสามารถเป็นเรื่องที่น่าสะดุดใจ และตำแหน่งของนักวิทยาศาสตร์บางตำแหน่ง ก็ได้ค่าตอบแทนมากกว่า 1 แสนเหรียญต่อปี (3.3 ล้านบาท) ผู้ตรวจการ (สืบสวน) พิเศษ (Special Investigators) ที่ทำงานให้กับกระทรวงกิจการผู้บริโภค (Consumer Affairs Department) ก็สามารถมีรายได้อยู่ราวๆ 8 หมื่นเหรียญต่อปี (2.64 ล้านบาท)<br /><br />-----------------------------------<br /><br />ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม การตรวจตราบังคับใช้กฎหมายเรื่องกัญชาในการเพาะปลูก ก็เป็นเรื่องของความวิตกกังวลมาเป็นเวลาอย่างยาวนานภายในรัฐ เมื่อไม่นานมานี้ สมาชิกวุฒิสภาของรัฐ คือ วุฒิสภาเท็ด เกนส์ (Ted Gaines) สังกัดพรรครีพับลิกัน จากเอล โดราโด้ (El Dorado) ได้เรียกร้องให้นายเจอร์รี่ บราวน์ (Jerry Brown) ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศภาวะฉุกเฉินภายในรัฐ ที่เขตมณฑลซิสกิยู่ (Siskiyou County) เนื่องจากว่า การปลูกกัญชาอย่างผิดกฎหมายได้แผลงฤทธิ์ออกมาให้เห็นกันอย่างซึ่งๆ หน้า<br /><br />วุฒิสมาชิก Gaines กล่าวว่า อาชญากรปฎิบัติกับเขตมณฑลนี้ เปรียบเสมือว่า ทุกๆ แห่งในท้องที่เป็น “เรือนกระจกที่ผิดกฎหมายของพวกเขาเอง” ในขณะที่ทำการสร้างมลพิษกับทางเดินน้ำด้วยการใช้ยาฆ่าแมลงและโยนสิ่งปฎิกูลอื่นๆ ลงไป<br /><br />ในขณะเดียวกัน ทางรัฐบาลของรัฐและของท้องถิ่น ต่างก็รีบเร่งในการผ่านกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ในการบริหารเศรษฐกิจเรื่องใหม่เกี่ยวกับกัญชา เท่าที่เวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง กระบวนการเหล่านี้ได้สร้างผลลัพธ์ทั้งในแง่บวกและในแง่ลบให้เห็นกัน<br /><br />ทางรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า จะพร้อมในการเริ่มการออกใบอนุญาตต่างๆ ในเดือนมกราคมหน้า ถึงแม้ว่าจะเป็นใบอนุญาตการประกอบการชั่วคราวก็ตาม<br /><br />---------------------------------<br /><br />ส่วนที่เขตมณฑลเมนโดซิโน่ (Mendocino County) ซึ่งอยู่ติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก มีเกษตรกรจำนวน 700 คนที่ยื่นขอใบอนุญาตประกอบการในท้องถิ่น ถึงแม้ว่าจะมีการประเมินก่อนหน้าว่า จะมีผู้คนนับพันนับหมื่นที่ต้องการจะปลูกกัญชาในเขตมณฑลนี้ ซึ่งอยู่ขึ้นไปทางเหนือของเมืองซาน ฟรานซิสโก (San Francisco) ก็ตาม ความหวาดหวั่นก็คือว่า ผู้ทำการเพาะปลูกและผู้ทำการขายเป็นจำนวนมาก จะยังคงฝังตัวอยู่ในตลาดมืด ซึ่งเป็นการตัดราคาขายที่ถูกต้องตามกฎหมาย<br /><br />“สิ่งที่ผมห่วงใยมากที่สุดคือ กฎข้อบังคับของรัฐ อาจจะพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นภาระอันยากยิ่ง เนื่องจากว่า มันจะทำให้ผู้คนที่ต้องการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย เกิดความท้อใจที่จะออกมาแสดงตัวกัน” กล่าวโดยคุณจอห์น แม็กโคเวน (John McCowen) ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการผู้กำกับดูแลประจำเขตมณฑลกล่าว<br /><br />“และเรื่องนี้ มันก็หมายถึงโอกาสอย่างใหญ่หลวงมากกว่า ให้กับผู้ที่กำลังดำเนินการซื้อขายอยู่ในตลาดมืดนั่นเอง” คุณ McCowen เสริมท้าย<br /><br />-----------------------------------------<br /><br />ในขณะที่ทางรัฐกำลังเพิ่มจำนวนงานเข้าไปหลายตำแหน่ง เพื่อที่จะกำกับดูแลตลาดการค้าเหล่านี้ ทางการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเผชิญหน้ากับอุปสงค์ตัวใหม่ซึ่งเข้ามาพร้อมกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น นั่นคือ จากการทำให้ท้องถนนหนทาง ปราศจากผู้ขับรถซึ่งมึนเมาจากการเสพ (Stoned Drivers) และช่วยให้เอาพืชพันธุ์เหล่านี้ออกไปจากเงื้อมมือของผู้ประกอบการที่ผิดกฎหมาย<br /><br />กองตำรวจทางหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Highway Patr0l หรือ CHiPs) ก็ทำการขยายการฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อการชี้ตัวผู้ขับรถที่มีอาการเสพจนมึนเมา ในเมืองต่างๆ ที่ได้รับการอนุญาตให้ทำการเพาะปลูก, ทำการอุตสาหกรรม หรือ ทำการค้าขายได้, หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะรวมไปถึงการปกป้องภัยให้กับผู้ที่ดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย ให้ปราศจากกลุ่มแก้งค์อันธพาลต่างๆ ซึ่งมีความประสงค์ในการผลักดันพวกเขาให้เลิกประกอบธุรกิจกัน<br /><br />และประเด็นสำคัญคือ การดูแลรักษากัญชาที่ปลูกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ให้เคลื่อนย้ายเข้าไปสู่ตลาดมืด<br /><br />ในการต่อสู้กับการกระทำต่างๆ อันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะด้วยการออกกฎหมายขึ้นมาบังคับใช้ หรือ ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตาม “เราก็ต้องลงทุนในเรื่องเหล่านี้กับมัน” กล่าวโดย คุณเอดเวริ์ด เมดราโน่ (Edward Medrano) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจของเมืองการ์เดนน่า (Gardena) และยังเป็นประธานสมาคมผู้บัญชาการตำรวจของรัฐแคลิฟอร์เนียอีกด้วย (California Police Chiefs Association)<br /><br />---------------------------------------------------<br /><br />ความคิดเห็นของผู้แปล:<br /><br />ขอเขียนเป็นความรู้นิดหน่อย (อาจจะตกหล่นไปบ้าง) <br /><br />คำว่า กัญชา นั้น มาจากคำว่า ganja (สันสกฤต) ทางฝรั่งตะวันตกจะใช้คำแสลงกันมากๆ คำที่ใช้เป็นทางการคือ Cannabis; ส่วนที่เหลือและพบบ่อยคือ Marijuana (ภาษาสเปน และฝรั่งเศสใช้); weeds; grass; joint; Thai Sticks; pot ฯลฯ นานๆ ครั้งจะเห็นคำว่า bhaang ค่ะ แต่ความหมายใกล้เคียงกัน<br /><br />ส่วนคำว่า บ้อง หรือ Bong กลายเป็นภาษาอังกฤษ สากลไปแล้ว คำนี้ มาจากภาษาไทยค่ะ แปลจริงๆ ก็คือ เครื่องมือที่ใช้เสพกัญชานั่นแหละ<br /><br />-------------------------<br /><br />ดิฉันคิดว่า อีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า รัฐต่างๆ อีกหลายๆ รัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีการออกกฎหมายให้การเสพกัญชาเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ เหมือนกับอีกหลายประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป แต่ทางประเทศอเมริกายังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงอยู่ จึงเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป<br /><br />เคยถามเจ้าหน้าที่ผู้บังคับกฎหมายในรัฐ Alaska ว่า มันคุ้มหรือไม่ที่เรื่องกัญชานี้เป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมายไป (Alaska ก็เป็นรัฐกลุ่มแรกๆ ที่ผ่านกฎหมายให้กัญชาเป็นเรื่องถูกกฎหมาย) หลายๆ คนที่คุยด้วยก็บอกว่าคุ้ม เพราะการดำเนินการต่างๆ ได้เปลี่ยนไป ไม่ต้องเสียแรงเสียเวลาออกไปจับกุมผู้คนในเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ และก็ไม่ต้องไปรบกวนเวลากับศาลยุติธรรม หรือ อัยการที่จะต้องทำการส่งฟ้องเรื่องเหล่านี้ paperwork ต่างๆ ก็จะลดจำนวนลงเป็นจำนวนมาก เอาเวลาที่มีค่า ไปทำงานที่ช่วยเหลือ ปกป้องชีวิตผู้คนกันดีกว่า<br /><br />พอเห็นเรื่องนี้ ก็เลยต้องมาเทียบกับของไทย เพราะการมีกัญชาอยู่ในความครอบครอง ก็ยังผิดกฎหมายเป็นอย่างมาก ดิฉันลองไปค้นๆ ดู ก็พบว่า กัญชา ถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ยาเสพติดให้โทษ” และคำว่า “ให้โทษ” นั้น กลับไม่ได้ใช้กับพวก ซิการ์หรือบุหรี่เลย<br /><br />-----------------------<br /><br />กฎหมายไทยกล่าวไว้ว่า:<br /><br />มาตรา 7 พรบ.ยาเสพติดให้โทษฯ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ ประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึงประเภท 1 เช่น กัญชา พืชกระท่อม<br /><br />ส่วนมาตรา มาตรา 76/1 ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26 วรรคหนึ่ง โดยมีจำนวนยาเสพติดให้โทษไม่ถึงสิบกิโลกรัม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br /><br />กรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้ามียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตั้งแต่สิบกิโลกรัมขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท<br /><br />----------------------------<br /><br />อย่างที่เห็นคือ กฎหมายเขียนไว้กว้างมาก ไม่ว่าจะมีกัญชาอยู่ในความครอบครองเป็นจำนวนหนึ่งมวน ก็มีโทษเท่ากับ 10 กิโลกรัม (ตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง) เลยเป็นการหารายได้ตั้งแต่สี่หมื่นบาท ไปจนถึงสองแสนบาทกัน (ถ้ามี 9 กิโลกรัม ก็คงใช้การตีความหมายแบบเดียวกันได้<br /><br />และเราก็อาจจะเห็นว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การสูบบุหรี่จะเริ่มลดลงไปตามลำดับ แต่การเสพกัญชา อาจจะเพิ่มมากขึ้น เพราะมีส่วนอ้างอิงเรื่องของ “ทางการแพทย์” เข้ามาด้วย<br /><br />-----------------------------<br /><br />ส่วนของรัฐ California และอีกหลายๆ รัฐใน USA ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นกันแล้วว่า การสร้างงานเป็นอุตสาหกรรมอันมหึมาจากเรื่องกัญชา สามารถสร้างงาน และสร้างเศรษฐกิจให้เจริญเติบโดและหมุนเวียนภายในรัฐกันได้อย่างไร <br /><br />อย่าลืมว่า มันมีตัวเลขของงานที่สร้างขึ้นมาแบบทางอ้อม ซึ่งเป็นผลพวงมาจากงานที่สร้างขึ้นเกี่ยวกับเรื่องกัญชาโดยตรงเกิดขึ้นมาด้วย บางครั้งผลพวงของเรื่องแบบนี้ (Ripple Effects) ก็ให้เกิดการบูม (Boom) ในสาขาอาชีพใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมที่ไม่เคยมีการคาดคิดขึ้นมาก่อนก็ได้เช่นกัน<br /><br />ก็ขอจบบทความเพียงแค่นี้ Happy Puffing ก็แล้วกันนะคะ....<br /><br />Have a safe and Pleasant Sunday ค่ะ<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/761031640750235648", "published": "2017-10-01T01:07:59+00:00", "source": { "content": "บทความแปล: จำนวนงานในรัฐบาลรัฐแคลิฟอร์เนียเพิ่มขึ้น เนื่องจากกัญชาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกกฎหมายไปแล้ว \n\n(อ้างอิง: Government jobs sprouting as legal pot looms in California - https://www.washingtonpost.com/national/government-jobs-sprouting-as-legal-pot-looms-in-california/2017/09/30/8be9bf08-a5ed-11e7-b573-8ec86cdfe1ed_story.html)\n\n----------------------------------\n\nนครลอส แองเจิลลีส: ตำแหน่งหน้าที่การงานมีอาชีพการเป็น นักวิทยาศาสตร์, ผู้ทำการเก็บภาษีอากร, พนักงานป้อนพิมพ์ข้อมูลเข้าสู่ระบบ, ผู้ชำนาญการวิเคราะห์, นักกฎหมาย และนักวิทยาศาสตร์อีกหลายสาขา\n\nการใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ (Recreational marijuana) จะกลายเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมายเมื่อเริ่มต้นปี พ.ศ. 2561 และเรื่องหนึ่งที่เริ่มงอกเงยในอุตสาหกรรมที่เพิ่งผุดขึ้นมานี้ ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องดอกไม้ใบหญ้าสีเขียวแต่อย่างใด – แต่มันกลายเป็น ตำแหน่งการงานภายในรัฐบาลต่างหาก\n\nในเวลานี้ ทางรัฐบาลของรัฐแคลิฟอร์เนียกำลังอยู่ในช่วงระยะของการประกาศว่าจ้างบุคลากร เพื่อเข้าไปประจำตำแหน่ง และท้ายที่สุดแล้ว ก็จะมีตำแหน่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในรัฐบาลนับหลายร้อยตำแหน่ง ภายในปี พ.ศ. 2562 และจุดประสงค์ก็เพื่อ นำเอาเรื่องของความถูกต้องตามกฎหมายในการเสพกัญชามาปฏิบัติใช้ต่อการช่วยเหลือเรื่องทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ทำการเฝ้ามองสังเกตการณ์ว่า อะไรจะแทรกซึมเข้ามาสู่กระแสของการเจริญเติบโตเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับกัญชา ด้วยการตรวจสอบเช็คประวัติพื้นเพเบื้องหลังชองผู้ประกอบการขายผลผลิตต่างๆ ซึ่งต้องการใบอนุญาตการค้าขายจากรัฐบาล และมีการคาดหวังกันว่า จะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนนับพันตำแหน่ง ที่จะเข้าไปเพิ่มสู่ส่วนงานในรัฐบาลส่วนท้องถิ่นต่างๆ อีกด้วย\n\nการขยายตัวของระบบทางการอย่างรวดเร็ว เป็นตัวแทนให้เห็นเพียงมุมมองเดียวในเรื่องของการท้าทายอันยุ่งยากสลับซับซ้อน ที่ทางรัฐแคลิฟอร์เนียต้องเผชิญหน้าอยู่: เมื่อเดือนมกราคมที่กำลังจะมาถึงนี้ ทางการของรัฐจะรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ (Medical Cannabis) ไปเข้ากับกลุ่มของการใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ ให้เข้ามาอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เรื่องนี้ทำให้กลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา ในเรื่องของการค้าขายกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย\n\n----------------------------------\n\nเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีพนักงานที่ทำงานเต็มเวลาทั้งหมดเพียงแค่ 11 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทราบกันในปัจจุบันว่า เป็นหน่วยงานของกองควบคุมกัญชา (Bureau of Cannabis Control) หัวหน้าผู้ออกระเบียบควบคุมองค์กรของรัฐ เป็นผู้กำกับดูแลตลาดการซื้อขายกัญชาทั้งหมด ในเวลานี้ จำนวนพนักงานได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตัว และในเดือนกุมภาพันธ์ของปี พ.ศ. 2561 นี้ ทางองค์กรคาดหวังว่า จะมีพนักงานเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 100 คน\n\nเนื่องจากว่า พนักงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสถานที่ทำงานแห่งเก่า ก็คับแคบลงไปตามตัว ดังนั้น ทางองค์กรก็เริ่มทำการย้ายหน่วยงานไปตั้งอยู่ ณ สถานที่แห่งใหม่ในปลายปีนี้ เป็นที่คาดหวังกันว่า ในท้ายที่สุดแล้ว หน่วยงานสาขาต่างๆ ก็จะขยายตัวไปอยู่ทั่วทุกแห่งภายในรัฐ\n\nยังมีตำแหน่งงานอีกเป็นจำนวนนับสิบๆ ตำแหน่ง ที่เพิ่มขึ้นมา เพื่อทำการออกใบอนุญาตให้กับผู้ค้าขาย, ผู้ทำการเพาะปลูก, ผู้ขับรถบรรทุกเพื่อส่งผลิตภัณฑ์, บริษัทผู้ทำการผลิต และอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันกับอุตสาหกรรมที่คาดหมายว่าจะมีมูลค่ามากถึง 7 พันล้านเหรียญ (231,000 ล้านบาท) ทางรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็เริ่มใช้การโฆษณาผ่าน Facebook เพื่อล่อตาล่อใจให้กับผู้สมัครงานทั้งหลายด้วย\n\n---------------------------------\n\nทางกองควบคุมกัญชา ได้ใช้ส่วนหนึ่งของวิดิโอที่แสดงโดยคุณจิม แคร์รี่ (Jim Carrey) ซึ่งใช้นิ้วมือของเขากระแทกลงไปบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ เพื่อทำให้ผู้ที่คาดหวังว่าจะสมัครงานออนไลน์เข้ามา ได้สะดุดหยุดชมข้อความเหล่านี้ มันอ่านหน้าจอได้ว่า “กรอกใบสมัครไปส่งโดยเร็ว .. ก่อนที่นายคนนี้จะแซงหน้าคุณไปก่อนนะ”\n\nยังมีโพสต์ตามมาอีกว่า “งานใหม่ๆ ก็อยู่ตรงหน้าแล้วนะ.... เรากำลังทำการว่าจ้างอยู่”\n\nงบประมาณของรัฐบาลรัฐแคลิฟอร์เนียปีนี้ ประกอบด้วยเงินจำนวน $100 ล้านดอลล่าร์ (3,300 ล้านบาท) เพื่อเป็นกองทุนสำหรับโครงการออกกฎระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องกัญชา ซึ่งรวมไปถึงบุคลากรในการตรวจตราและเป็นผู้ออกใบอนุญาต รวมถึงเผ้ามองสถานะของสิ่งแวดล้อมและการออกบังคับใช้กฎหมายอีกด้วย\n\nการเตรียมตัวว่าจ้างการทำงานในปี พ.ศ. 2561 นี้จะรวมไปถึง หน่วยงานอีกหลายแห่งของรัฐ: บุคลากรจำนวน 50 คนจะถูกส่งเข้าไปทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข (ของรัฐ), 65 คนถูกกำหนดห้ไปร่วมอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการควบคุมทรัพยากรน้ำ และพนักงานใหม่อีกจำนวน 60 คนก็ถูกคาดหวังว่าจะไปทำงานอยู่ที่กระทรวงอาหารและการเกษตร (Food and Agriculture) ซึ่งจะเป็นผู้กำกับดูแลเรื่องใบอนุญาตให้กับเกษตรกรซึ่งทำการเก็บเกี่ยวพืชผล\n\n---------------------------------------\n\nตำแหน่งงานบางตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาก\n\nนักวิทยาศาสตร์ในสาขาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จะมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการสร้างมาตรฐานเกี่ยวกับการปลูกกัญชาใกล้กับลำธารสายน้ำ, พร้อมกับสร้างความมั่นใจต่อการใช้ปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงว่า จะต้องไม่สร้างความเสียหายต่อน้ำหรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อปลา ส่วนนักวิศวกรจะเป็นผู้ทำการตรวจตราดูแลเรื่องน้ำบาดาล (Groundwater) และน้ำที่ถูกเปลี่ยนกระแสเส้นทางออกมา เพื่อใช้ในการบำรุงต้นพืชเหล่านั้น ส่วนความต้องการบุคลากรทางด้านกฎหมาย ก็เพื่อช่วยทำการคัดแยกประเด็นต่างๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก รวมไปถึงเรื่องกฎหมายของรัฐ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสับสนในเรื่องของสิ่งแวดล้อมต่างๆ \n\nเงินตอบแทนรายปีจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง แต่มันสามารถเป็นเรื่องที่น่าสะดุดใจ และตำแหน่งของนักวิทยาศาสตร์บางตำแหน่ง ก็ได้ค่าตอบแทนมากกว่า 1 แสนเหรียญต่อปี (3.3 ล้านบาท) ผู้ตรวจการ (สืบสวน) พิเศษ (Special Investigators) ที่ทำงานให้กับกระทรวงกิจการผู้บริโภค (Consumer Affairs Department) ก็สามารถมีรายได้อยู่ราวๆ 8 หมื่นเหรียญต่อปี (2.64 ล้านบาท)\n\n-----------------------------------\n\nไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม การตรวจตราบังคับใช้กฎหมายเรื่องกัญชาในการเพาะปลูก ก็เป็นเรื่องของความวิตกกังวลมาเป็นเวลาอย่างยาวนานภายในรัฐ เมื่อไม่นานมานี้ สมาชิกวุฒิสภาของรัฐ คือ วุฒิสภาเท็ด เกนส์ (Ted Gaines) สังกัดพรรครีพับลิกัน จากเอล โดราโด้ (El Dorado) ได้เรียกร้องให้นายเจอร์รี่ บราวน์ (Jerry Brown) ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศภาวะฉุกเฉินภายในรัฐ ที่เขตมณฑลซิสกิยู่ (Siskiyou County) เนื่องจากว่า การปลูกกัญชาอย่างผิดกฎหมายได้แผลงฤทธิ์ออกมาให้เห็นกันอย่างซึ่งๆ หน้า\n\nวุฒิสมาชิก Gaines กล่าวว่า อาชญากรปฎิบัติกับเขตมณฑลนี้ เปรียบเสมือว่า ทุกๆ แห่งในท้องที่เป็น “เรือนกระจกที่ผิดกฎหมายของพวกเขาเอง” ในขณะที่ทำการสร้างมลพิษกับทางเดินน้ำด้วยการใช้ยาฆ่าแมลงและโยนสิ่งปฎิกูลอื่นๆ ลงไป\n\nในขณะเดียวกัน ทางรัฐบาลของรัฐและของท้องถิ่น ต่างก็รีบเร่งในการผ่านกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ในการบริหารเศรษฐกิจเรื่องใหม่เกี่ยวกับกัญชา เท่าที่เวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง กระบวนการเหล่านี้ได้สร้างผลลัพธ์ทั้งในแง่บวกและในแง่ลบให้เห็นกัน\n\nทางรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า จะพร้อมในการเริ่มการออกใบอนุญาตต่างๆ ในเดือนมกราคมหน้า ถึงแม้ว่าจะเป็นใบอนุญาตการประกอบการชั่วคราวก็ตาม\n\n---------------------------------\n\nส่วนที่เขตมณฑลเมนโดซิโน่ (Mendocino County) ซึ่งอยู่ติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก มีเกษตรกรจำนวน 700 คนที่ยื่นขอใบอนุญาตประกอบการในท้องถิ่น ถึงแม้ว่าจะมีการประเมินก่อนหน้าว่า จะมีผู้คนนับพันนับหมื่นที่ต้องการจะปลูกกัญชาในเขตมณฑลนี้ ซึ่งอยู่ขึ้นไปทางเหนือของเมืองซาน ฟรานซิสโก (San Francisco) ก็ตาม ความหวาดหวั่นก็คือว่า ผู้ทำการเพาะปลูกและผู้ทำการขายเป็นจำนวนมาก จะยังคงฝังตัวอยู่ในตลาดมืด ซึ่งเป็นการตัดราคาขายที่ถูกต้องตามกฎหมาย\n\n“สิ่งที่ผมห่วงใยมากที่สุดคือ กฎข้อบังคับของรัฐ อาจจะพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นภาระอันยากยิ่ง เนื่องจากว่า มันจะทำให้ผู้คนที่ต้องการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย เกิดความท้อใจที่จะออกมาแสดงตัวกัน” กล่าวโดยคุณจอห์น แม็กโคเวน (John McCowen) ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการผู้กำกับดูแลประจำเขตมณฑลกล่าว\n\n“และเรื่องนี้ มันก็หมายถึงโอกาสอย่างใหญ่หลวงมากกว่า ให้กับผู้ที่กำลังดำเนินการซื้อขายอยู่ในตลาดมืดนั่นเอง” คุณ McCowen เสริมท้าย\n\n-----------------------------------------\n\nในขณะที่ทางรัฐกำลังเพิ่มจำนวนงานเข้าไปหลายตำแหน่ง เพื่อที่จะกำกับดูแลตลาดการค้าเหล่านี้ ทางการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเผชิญหน้ากับอุปสงค์ตัวใหม่ซึ่งเข้ามาพร้อมกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น นั่นคือ จากการทำให้ท้องถนนหนทาง ปราศจากผู้ขับรถซึ่งมึนเมาจากการเสพ (Stoned Drivers) และช่วยให้เอาพืชพันธุ์เหล่านี้ออกไปจากเงื้อมมือของผู้ประกอบการที่ผิดกฎหมาย\n\nกองตำรวจทางหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Highway Patr0l หรือ CHiPs) ก็ทำการขยายการฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อการชี้ตัวผู้ขับรถที่มีอาการเสพจนมึนเมา ในเมืองต่างๆ ที่ได้รับการอนุญาตให้ทำการเพาะปลูก, ทำการอุตสาหกรรม หรือ ทำการค้าขายได้, หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะรวมไปถึงการปกป้องภัยให้กับผู้ที่ดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย ให้ปราศจากกลุ่มแก้งค์อันธพาลต่างๆ ซึ่งมีความประสงค์ในการผลักดันพวกเขาให้เลิกประกอบธุรกิจกัน\n\nและประเด็นสำคัญคือ การดูแลรักษากัญชาที่ปลูกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ให้เคลื่อนย้ายเข้าไปสู่ตลาดมืด\n\nในการต่อสู้กับการกระทำต่างๆ อันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะด้วยการออกกฎหมายขึ้นมาบังคับใช้ หรือ ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตาม “เราก็ต้องลงทุนในเรื่องเหล่านี้กับมัน” กล่าวโดย คุณเอดเวริ์ด เมดราโน่ (Edward Medrano) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจของเมืองการ์เดนน่า (Gardena) และยังเป็นประธานสมาคมผู้บัญชาการตำรวจของรัฐแคลิฟอร์เนียอีกด้วย (California Police Chiefs Association)\n\n---------------------------------------------------\n\nความคิดเห็นของผู้แปล:\n\nขอเขียนเป็นความรู้นิดหน่อย (อาจจะตกหล่นไปบ้าง) \n\nคำว่า กัญชา นั้น มาจากคำว่า ganja (สันสกฤต) ทางฝรั่งตะวันตกจะใช้คำแสลงกันมากๆ คำที่ใช้เป็นทางการคือ Cannabis; ส่วนที่เหลือและพบบ่อยคือ Marijuana (ภาษาสเปน และฝรั่งเศสใช้); weeds; grass; joint; Thai Sticks; pot ฯลฯ นานๆ ครั้งจะเห็นคำว่า bhaang ค่ะ แต่ความหมายใกล้เคียงกัน\n\nส่วนคำว่า บ้อง หรือ Bong กลายเป็นภาษาอังกฤษ สากลไปแล้ว คำนี้ มาจากภาษาไทยค่ะ แปลจริงๆ ก็คือ เครื่องมือที่ใช้เสพกัญชานั่นแหละ\n\n-------------------------\n\nดิฉันคิดว่า อีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า รัฐต่างๆ อีกหลายๆ รัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีการออกกฎหมายให้การเสพกัญชาเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ เหมือนกับอีกหลายประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป แต่ทางประเทศอเมริกายังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงอยู่ จึงเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป\n\nเคยถามเจ้าหน้าที่ผู้บังคับกฎหมายในรัฐ Alaska ว่า มันคุ้มหรือไม่ที่เรื่องกัญชานี้เป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมายไป (Alaska ก็เป็นรัฐกลุ่มแรกๆ ที่ผ่านกฎหมายให้กัญชาเป็นเรื่องถูกกฎหมาย) หลายๆ คนที่คุยด้วยก็บอกว่าคุ้ม เพราะการดำเนินการต่างๆ ได้เปลี่ยนไป ไม่ต้องเสียแรงเสียเวลาออกไปจับกุมผู้คนในเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ และก็ไม่ต้องไปรบกวนเวลากับศาลยุติธรรม หรือ อัยการที่จะต้องทำการส่งฟ้องเรื่องเหล่านี้ paperwork ต่างๆ ก็จะลดจำนวนลงเป็นจำนวนมาก เอาเวลาที่มีค่า ไปทำงานที่ช่วยเหลือ ปกป้องชีวิตผู้คนกันดีกว่า\n\nพอเห็นเรื่องนี้ ก็เลยต้องมาเทียบกับของไทย เพราะการมีกัญชาอยู่ในความครอบครอง ก็ยังผิดกฎหมายเป็นอย่างมาก ดิฉันลองไปค้นๆ ดู ก็พบว่า กัญชา ถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ยาเสพติดให้โทษ” และคำว่า “ให้โทษ” นั้น กลับไม่ได้ใช้กับพวก ซิการ์หรือบุหรี่เลย\n\n-----------------------\n\nกฎหมายไทยกล่าวไว้ว่า:\n\nมาตรา 7 พรบ.ยาเสพติดให้โทษฯ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ ประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึงประเภท 1 เช่น กัญชา พืชกระท่อม\n\nส่วนมาตรา มาตรา 76/1 ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26 วรรคหนึ่ง โดยมีจำนวนยาเสพติดให้โทษไม่ถึงสิบกิโลกรัม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ\n\nกรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้ามียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตั้งแต่สิบกิโลกรัมขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท\n\n----------------------------\n\nอย่างที่เห็นคือ กฎหมายเขียนไว้กว้างมาก ไม่ว่าจะมีกัญชาอยู่ในความครอบครองเป็นจำนวนหนึ่งมวน ก็มีโทษเท่ากับ 10 กิโลกรัม (ตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง) เลยเป็นการหารายได้ตั้งแต่สี่หมื่นบาท ไปจนถึงสองแสนบาทกัน (ถ้ามี 9 กิโลกรัม ก็คงใช้การตีความหมายแบบเดียวกันได้\n\nและเราก็อาจจะเห็นว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การสูบบุหรี่จะเริ่มลดลงไปตามลำดับ แต่การเสพกัญชา อาจจะเพิ่มมากขึ้น เพราะมีส่วนอ้างอิงเรื่องของ “ทางการแพทย์” เข้ามาด้วย\n\n-----------------------------\n\nส่วนของรัฐ California และอีกหลายๆ รัฐใน USA ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นกันแล้วว่า การสร้างงานเป็นอุตสาหกรรมอันมหึมาจากเรื่องกัญชา สามารถสร้างงาน และสร้างเศรษฐกิจให้เจริญเติบโดและหมุนเวียนภายในรัฐกันได้อย่างไร \n\nอย่าลืมว่า มันมีตัวเลขของงานที่สร้างขึ้นมาแบบทางอ้อม ซึ่งเป็นผลพวงมาจากงานที่สร้างขึ้นเกี่ยวกับเรื่องกัญชาโดยตรงเกิดขึ้นมาด้วย บางครั้งผลพวงของเรื่องแบบนี้ (Ripple Effects) ก็ให้เกิดการบูม (Boom) ในสาขาอาชีพใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมที่ไม่เคยมีการคาดคิดขึ้นมาก่อนก็ได้เช่นกัน\n\nก็ขอจบบทความเพียงแค่นี้ Happy Puffing ก็แล้วกันนะคะ....\n\nHave a safe and Pleasant Sunday ค่ะ\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:761031640750235648/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:758842797808689171", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "บทความแปล: ผู้อำนวยการองค์การนาซ่าเผย “เมื่อตอนคุณกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3 สิ่งที่คุณเคยเรียนมาเมื่อตอนอยู่ชั้นปีที่ 1 นั้น มันกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปหมดเสียแล้ว”<br /><br />(อ้างอิง: NASA Admin: “By the Time You’re a Junior, What You Learned as a Freshman is Obsolete”<br /><a href=\"https://futurism.com/2-by-the-time-you-are-a-junior-in-college-what-you-learned-as-a-freshman-is-already-obsolete-nasa/\" target=\"_blank\">https://futurism.com/2-by-the-time-you-are-a-junior-in-college-what-you-learned-as-a-freshman-is-already-obsolete-nasa/</a><br /><br />-----------------------------------------<br />ทักษะพื้นฐาน (Fundamental Skills)<br /><br />เมื่อระบบอัตโนมัติเริ่มปรากฏลางๆ ให้เห็นทั่วทุกมุมโลกเข้ามาสู่เรื่องการงาน (looms over the world of work - อ้างอิง: <a href=\"https://futurism.com/automation-may-lead-to-a-workless-future-for-humans-heres-how-we-can-cope/\" target=\"_blank\">https://futurism.com/automation-may-lead-to-a-workless-future-for-humans-heres-how-we-can-cope/</a>) การเปลี่ยนแปลงรูปโฉมในเรื่องแรงงาน ก็เข้ามามีปัจจัยต่อการตัดสินใจการจ้างงานมากขึ้นทุกทีๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า หลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัย หลักสูตรไหน ที่ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดทั้งเวลาและทั้งเงินทองที่เสียไป<br /><br /><br />คุณโรเบริ์ต เอ็ม ไลท์ฟุต จูเนียร์ (Robert M. Lightfoot Jr.) ซึ่งเป็นศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัย Alabama และเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งของ ผู้อำนวยการองค์การนาซ่า (NASA) ให้สัมภาษณ์กับเวปไซค์แห่งนี้ พร้อมกับ แสดงให้เห็นจุดสำคัญๆ สองสามด้าน กับนักศึกษาและนักศึกษาศาสตร์ (Educators) เกี่ยวกับการนำร่องไปสู่พื้นผิวที่ขรุขระประเภทประสบกับปัญหาต่างๆ มากขึ้นอยู่เรื่อยๆ<br /><br /><br />ผอ. Lightfoot เริ่มการสัมภาษณ์ด้วยการให้ข้อสังเกตว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น มันเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดไหนในโลกวันนี้ และมันจะทำให้เด็กๆ นักศึกษาบางคนเกิดอาการสูญหายไปเลย (คือ ตามเทคโนโลยีไม่ทัน)<br /><br /><br />“ในเวลาที่คุณเรียนอยู่ในชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยนั้น สิ่งที่คุณเคยเรียนมาเมื่อสมัยคุณอยู่ในชั้นปีที่ 1 นั้น มันกลายเป็นเรื่องหมดสมัยหรือหมดสภาพไปแล้ว” แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด ซึ่งเขากล่าวต่อว่า มันก็ยังมีวิชาพื้นฐานต่างๆ บางวิชาที่คุณต้องการมันอยู่เสมอ<br /><br /><br />“มันมีเรื่องของทักษะพื้นฐานบางอย่างที่บังคับให้เราจะต้องเรียนรู้ในหนทางเหล่านี้กัน ถ้าคุณยังเรียนอยู่ในหลักสูตรหรือโปรแกรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คุณก็ต้องเรียนรู้และต้องการความรู้เกี่ยวกับด้านวิทยาศาสตร์ ถ้าคุณอยู่ในโปรแกรมเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี คุณจะต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องของวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์รวมอยู่ นั่นก็คือ ส่วนสำคัญที่สุดในการศึกษา (Bottom Line) ”<br /><br /><br />-----------------------------------------<br /><br />แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นอื่นๆ ก็ยังคงมีอยู่<br /><br />ไม่ว่าคุณจะเรียนรู้วิชาพื้นฐานใดๆ มาก็ตาม เมื่อถึงเวลาตอนที่คุณสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ข้อมูลความรู้ส่วนใหญ่ที่คุณได้เรียนรู้มา ก็ไม่สามารถนำมันเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันของคุณได้ -- และสิ่งที่จะเริ่มเกิดความเลวร้ายให้เห็นมากขึ้นกว่าก่อน ตามที่การค้นคว้าของเราเข้าไปในเรื่องของระบบอัตโนมัติและระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าและรุดหน้าขึ้นอยู่เรื่อยๆ ทุกๆ วัน<br /><br /><br />เรื่องนี้ ผอ. Lightfoot ยังคงยืนยันในเรื่องของการศึกษาระดับสูง ที่ช่วยสอนให้นักศึกษาได้รับรู้ถึงบทเรียนอันมีค่า – มันอาจจะยังไม่ปรากฏให้เห็นในบทสรุปของหลักสูตร (Syllabus) ในเวลานี้ก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ร่างเค้าโครงให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง เพื่อเตรียมตัวให้นักศึกษาที่ยังเยาว์วัย มีความพร้อมเพรียงเพื่อจะผจญกับโลกภายนอก และกำลังแรงงานในวันหน้าต่อไป<br /><br />-------------------------------<br /><br />การทำงานร่วมกัน สร้างความฝันให้เกิดขึ้นได้ (Teamwork Makes Dream Work)<br /><br />หลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมด บังคับให้นักศึกษา ทำงานอยู่เคียงข้างกับนักศึกษาคนอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ตามที่ ผอ. Lightfoot เห็นนั้น ก็คือ มันเป็นประเภทของการทดสอบ ที่จะสร้างบทบาทที่มีความจำเป็นต่อการเตรียมพร้อมด้วยการจัดกลุ่มของผู้สมัครงาน ที่โอกาสในการสร้างความเก่งกล้ายอดเยี่ยมเหนือกว่าในองค์การต่างๆ อย่างเช่น องค์การนาซ่า (NASA) เป็นต้น<br /><br />“มันมีทักษะสองเรื่องที่เราต้องการอยู่อย่างเสมอๆ ” ผอ. Lightfoot กล่าว “นั่นก็คือ ทักษะของการทำงานร่วมกันเป็นทีม, ทำงานร่วมกันกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี และ ต้องเข้าใจอยู่ตลอดว่า คุณจะทำงานประเภทหัวเดียวกระเทียมลีบ (Individual) ไม่ได้อย่างเด็ดขาดในเรื่องเหล่านี้ ผมสามารถบอกให้คุณทราบในตอนนี้ได้เลยว่า ไม่มีใครเลยสักคนในองค์กรนี้ ที่สามารถกล่าวว่า ‘ผมทำบางอย่างลงไป’ ไม่ใช่แบบนั้นแน่ๆ ‘เรา’ ต่างหาก ที่ทำบางสิ่งบางอย่างลงไป”<br /><br />องค์การอย่าง NASA ไม่สามารถที่จะทำงานชื้นสำคัญๆ (Important work – อ้างอิง: <a href=\"https://futurism.com/tag/NASA/\" target=\"_blank\">https://futurism.com/tag/NASA/</a>) ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยปราศจากฟันเฟืองแต่ละตัวในเครื่องจักรกล ซึ่งทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียว ระบบอัตโนมัติและระบบหุ่นยนต์ จะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงประเภทของโอกาสในการทำงาน (Job Opportunities - <a href=\"https://futurism.com/robots-are-preparing-to-fill-200000-vacant-construction-jobs/\" target=\"_blank\">https://futurism.com/robots-are-preparing-to-fill-200000-vacant-construction-jobs/</a>) ในตำแหน่งที่จะเปิดรับให้กับนิสิตนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในทศวรรษหน้าและในอีกภายภาคหน้า แต่เรื่องทักษะของการการร่วมมือร่วมแรงที่ดี (Good Collaboration) ก็ยังคงมีคุณค่าอยู่อย่างเสมอๆ<br /><br /><br />“คุณต้องเรียนรู้ในการสนทนาสื่อสาร” ผอ. Lightfoot เสริมต่อ “ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่สำคัญ และมันเป็นเรื่องบางสิ่งบางอย่างที่คุณสามารถสอนผู้คนได้เสมอ และมันก็เป็นเรื่องสำคัญตลอดไปด้วย” ถึงแม้มันอาจจะยังไม่เห็นเกิดขึ้นอยู่มากมายก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดแล้ว การมีทักษะในเรื่องของการปฎิสัมพันธ์ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered Interactions) จะช่วยสร้างความมั่นใจต่อคุณเองว่า คุณมีโอกาสและฝีมือในการได้รับการว่าจ้างงานในโลกของวันพรุ่งนี้<br /><br />--------------------------------------------------<br /><br />ความคิดเห็นของผู้แปล:<br /><br />วันนี้มีความเห็นอยู่สองเรื่อง แต่ขอรวมให้อยู่ในบทความเดียวกัน<br /><br />เรื่องแรก แสดงให้เห็นถึงโอกาสและเวลา ส่วนเรื่องที่สอง เกี่ยวกับเรื่อง คนเก่ง และ คนดี แต่ทั้งสองบทความ มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในเรื่องของ “คนเก่ง”<br /><br />--------------<br /><br />บทความแรก ซึ่ง แสดงให้เห็นถึงเรื่อง เวลา และ โอกาส รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลักสูตรต่างๆ ที่นิสิตนักศึกษาได้เรียนมา ก็กลายเป็นเรื่องที่หมดสมัยและล้าสมัยไป เมื่อตนเองเรียนจบจากสถาบันการศึกษา และต้องไปเผชิญกับโลกของความเป็นจริงว่า ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมขึ้นอีกมากมาย<br /><br /><br />นี่ขนาด ผอ. ของนาซ่า ระบุว่า เวลาเพียงสองปี เรื่องต่างๆ ก็แปรเปลี่ยนไปมาก ดิฉันยังคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าจะให้องค์การนาซ่า มียุทธศาสตร์ที่ตนเองจะต้องปฏิบัติตามอยู่เป็นเวลาถึง 20 ปีนั้น อะไรจะเกิดขึ้นกับองค์การนาซ่าบ้าง และเทคโนโลยีต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหนแล้ว<br /><br /><br />เพราะฉะนั้น องค์การแบบนาซ่า ต้องการ “คนมีทักษะ” หรือ “คนเก่ง” นั่นเอง เพื่อเข้าไปปฎิบัติงาน และ “คนเก่ง” เหล่านี้ จะทำงาน “เป็นทีม” เพื่อเป็น “หัวหอก” ต่อการสร้างความสำเร็จให้กับ “องค์กร” ที่ตนเองทำงานได้<br /><br />Bottom Line คือ องค์การน่าซ่า ต้องการ “คนเก่ง” อย่างแน่นอนที่สุด และองค์การระดับโลกอย่างนาซ่า ไม่มียุทธศาสตร์ประเภทเปลี่ยนแปลงไม่ได้แน่นอน ในระยะเวลา 20 ปีข้างหน้า<br /><br /><br />แถมคงจะไม่ให้คนแก่ประเภทจะเข้าโลงในวันพรุ่งนี้ มาเป็นผู้ดำเนินการหรือจัดการแผนการเหล่านี้อีกด้วย<br /><br />-----------------------------<br /><br />ขอเริ่มเรื่องที่สองต่อไป คือ เรื่องของ “คนดี” และ “คนเก่ง”<br /><br />ก็เลยกลับมาคิดถึง คำพูดของ มนุษย์ดึกดำบรรพ์อย่าง พลเอก เปรม ที่พยายามเหลือเกิน ในการ “งัด” เอา พระราชดำรัสของในหลวงฯ รัชกาลที่ 9 เข้ามา recycled เพื่อตนเองจะได้ “ดูดี” อยู่อย่างตลอดเวลา<br />โดยเฉพาะเรื่องของ “คนดี” กับ “คนเก่ง”<br /><br />ตนเอง อาศัยยันต์ในเรื่องที่ ผู้คนจะมาวิจารณ์ และให้ความเห็นเกี่ยวกับ พระราชดำรัสไม่ได้ ด้วยการเอาเรื่องดีใส่เข้าตัว<br /><br />ประเภท “มัดมือชก” และ “ยัดเยียด” ให้วิจารณ์ไม่ได้ นั่นแหละ<br /><br />ที่แปลกใจมากคือ ตนเองเป็น ประธานองคมนตรีของในหลวงฯ รัชกาลที่ 10 แต่ไม่เคยทำการ “โปรโมท” อะไรให้กับในหลวงฯ องค์ปัจจุบันเลย ทั้งๆ ที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ประธานองคมนตรีของในหลวงรัชกาลที่ 10<br /><br />ถ้าเป็นงานเอกชน ก็พูดง่ายๆ ว่า ไม่เคยกล่าวถึงบอสหัวหน้าคนใหม่เลย มีแต่พูดถึงบอสคนเก่าตลอด ถ้ามีบุคคลประเภทนี้อยู่ในองค์กรเอกชน ผู้คนจะถามทันทีว่า คุณทำงานกินเงินปีกับบอสคนเก่า หรือ บอสคนใหม่กันแน่?<br /><br />ที่สำคัญคือ ควรจะเลิก recycled ได้แล้ว และหันไปทำหน้าที่ หัวหน้าที่ปรึกษาให้กับในหลวงฯ องค์ปัจจุบันจะเหมาะสมกว่าในตำแหน่งหน้าที่นะคะ<br /><br />-----------------------------<br /><br />ดิฉันขอเขียนเพิ่มนิดหน่อย และในฐานะที่มีประสบการณ์ในการทำงานเกี่ยวกับ Human Resources โดยตรงมามากกว่า 10 ปี เมื่อสมัยอยู่ที่ Department of State และ Department of Justice ใน US นี่แหละ<br /><br /><br />ถ้าเราถามหรือใช้คำถามเหล่านี้ กับการสมัครงานใน US โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นของเอกชนหรือของรัฐบาล ทุกองค์กรต้องการ “คนเก่ง” ทั้งนั้น เพราะหมายความว่า เงินปีที่เป็นค่าตอบแทน จะคุ้มกับแรงงานที่บุคคลผู้นั้นทำให้กับองค์กร<br /><br /><br />และ \"คนเก่ง\" จะนำผลกำไร และ ผลผลิตเข้ามาสร้างองค์กรให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป<br /><br /><br />ถามบริษัทอย่าง Google, Microsoft, Facebook, Apple, Coca-Cola หรือแม้แต่ Toyota, Sony ของญีปุ่น หรือ Samsung ของ South Korea ก็ได้ว่า เขาต้องการ “the most talented candidates” หรือ “the best moral-character candidates” ก็คงจะดูง่ายๆ (ประเภทไม่มี “เส้นสาย” ว่า องค์กรเหล่านี้จะรับใครเข้าไปทำงานกัน)<br /><br />-----------------------------<br /><br />ส่วน \"คนดี\" นั้น เป็น subjective มากๆ คือ อยู่ที่ว่า อยู่ในสายตาของใคร \"คนดี\" ในสายตาของเจ้านายเก่า อาจจะเป็น \"คนเลว\" ในสายตาของเจ้านายใหม่ได้<br /><br />“คนเก่ง” จะสร้างนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมา และให้ “คนดี” กลายเป็นผู้บริโภคไป “คนเก่ง” เป็นคนสร้างโลกขึ้นมา ให้เรามีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ “คนดี” เป็นสมมติฐานตามความเชื่อของตนเอง และเป็นการ “อุปโลกน์” ขึ้นมาเพื่อ “สร้างราคา และ แก้ไขปมด้อย” ที่ตัวเอง “ไม่มีฝีมือเหมือนคนที่เก่งกว่า”<br /><br />ประเภทสร้างวาทะกรรม เรื่อง “มหาอำนาจ” อย่างที่ดิฉันเคยเขียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละ (อ้างอิง: <a href=\"https://www.minds.com/media/756341463775715334\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/media/756341463775715334</a>)<br /><br />การสร้างคำเหล่านี้ขึ้นมา ก็เพื่อเป็นการ “สร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อให้ตนเองดูดีขึ้นมาบ้าง” เมื่อต้องไปเทียบกับ “คนเก่งกว่า” ในเรื่องอื่นๆ ก็แค่นั้นเอง<br /><br />------------------------------<br /><br />แต่สุดท้ายแล้ว \"คนเก่ง\" จะอยู่รอดตลอดฝั่งแน่นอน เพราะไปที่ไหน ก็มีแต่ \"คนรับ\" และ \"เป็นที่ต้องการ\" ที่จะกลายเป็น \"ทรัพย์สิน\" ขององค์กรนั้นๆ เสมอ<br /><br /><br />เพราะฉะนั้น องค์การอย่างนาซ่า และเกือบทุกองค์กรในประเทศทั่วโลก (ยกเว้นประเทศไทย) ให้ความสำคัญกับ “คนเก่ง” แน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์<br /><br /><br />และโลกดิจิตอล ที่ประกอบไปด้วย เทคโนโลยี, ระบบปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ต่างๆ ที่เรากำลังก้าวสู่อยู่ทุกวันนี้ โลกต้องการบุคคลประเภทไหน ในการแข่งขันเชิงธุุรกิจ และเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์กัน คำตอบก็คงจะเห็นอยู่อย่างทนโท่แล้วว่า โลกต้องการให้ประเทศต่างๆ ผลิตบุคคลระดับไหนหรือมีคุณภาพแบบไหนขึ้นมา<br /><br />------------------------------<br /><br />คงยังจำสุภาษิตกันได้ว่า \"คนดี\" ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ กันได้?<br /><br />คนดี “ตกน้ำ” แต่ก็ยัง \"ไหลไปไหนมาไหนไม่ได้\" ก็คงจะยังจมและงมโข่งอยู่ตรงนั้น...<br /><br />ส่วน \"คนเก่ง\" เขามีวิธีการ \"สร้างหาหนทาง\" เพื่อจะได้ไม่ต้องไป \"ตกน้ำ\" หรือ “เปียกน้ำ” แน่นอน<br /><br />แถมยังเดินต่อไปได้ ในขณะที่ “คนดี” ยังไม่ไหลไปไหน ต่อให้มีไฟ ก็คงจะไม่ไหม้ เพราะมันยัง “เปียกโชก” อยู่แน่นอน<br /><br />Happy Monday ค่ะ<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/758842797808689171", "published": "2017-09-25T00:10:18+00:00", "source": { "content": "บทความแปล: ผู้อำนวยการองค์การนาซ่าเผย “เมื่อตอนคุณกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3 สิ่งที่คุณเคยเรียนมาเมื่อตอนอยู่ชั้นปีที่ 1 นั้น มันกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปหมดเสียแล้ว”\n\n(อ้างอิง: NASA Admin: “By the Time You’re a Junior, What You Learned as a Freshman is Obsolete”\nhttps://futurism.com/2-by-the-time-you-are-a-junior-in-college-what-you-learned-as-a-freshman-is-already-obsolete-nasa/\n\n-----------------------------------------\nทักษะพื้นฐาน (Fundamental Skills)\n\nเมื่อระบบอัตโนมัติเริ่มปรากฏลางๆ ให้เห็นทั่วทุกมุมโลกเข้ามาสู่เรื่องการงาน (looms over the world of work - อ้างอิง: https://futurism.com/automation-may-lead-to-a-workless-future-for-humans-heres-how-we-can-cope/) การเปลี่ยนแปลงรูปโฉมในเรื่องแรงงาน ก็เข้ามามีปัจจัยต่อการตัดสินใจการจ้างงานมากขึ้นทุกทีๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า หลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัย หลักสูตรไหน ที่ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดทั้งเวลาและทั้งเงินทองที่เสียไป\n\n\nคุณโรเบริ์ต เอ็ม ไลท์ฟุต จูเนียร์ (Robert M. Lightfoot Jr.) ซึ่งเป็นศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัย Alabama และเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งของ ผู้อำนวยการองค์การนาซ่า (NASA) ให้สัมภาษณ์กับเวปไซค์แห่งนี้ พร้อมกับ แสดงให้เห็นจุดสำคัญๆ สองสามด้าน กับนักศึกษาและนักศึกษาศาสตร์ (Educators) เกี่ยวกับการนำร่องไปสู่พื้นผิวที่ขรุขระประเภทประสบกับปัญหาต่างๆ มากขึ้นอยู่เรื่อยๆ\n\n\nผอ. Lightfoot เริ่มการสัมภาษณ์ด้วยการให้ข้อสังเกตว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น มันเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดไหนในโลกวันนี้ และมันจะทำให้เด็กๆ นักศึกษาบางคนเกิดอาการสูญหายไปเลย (คือ ตามเทคโนโลยีไม่ทัน)\n\n\n“ในเวลาที่คุณเรียนอยู่ในชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยนั้น สิ่งที่คุณเคยเรียนมาเมื่อสมัยคุณอยู่ในชั้นปีที่ 1 นั้น มันกลายเป็นเรื่องหมดสมัยหรือหมดสภาพไปแล้ว” แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด ซึ่งเขากล่าวต่อว่า มันก็ยังมีวิชาพื้นฐานต่างๆ บางวิชาที่คุณต้องการมันอยู่เสมอ\n\n\n“มันมีเรื่องของทักษะพื้นฐานบางอย่างที่บังคับให้เราจะต้องเรียนรู้ในหนทางเหล่านี้กัน ถ้าคุณยังเรียนอยู่ในหลักสูตรหรือโปรแกรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คุณก็ต้องเรียนรู้และต้องการความรู้เกี่ยวกับด้านวิทยาศาสตร์ ถ้าคุณอยู่ในโปรแกรมเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี คุณจะต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องของวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์รวมอยู่ นั่นก็คือ ส่วนสำคัญที่สุดในการศึกษา (Bottom Line) ”\n\n\n-----------------------------------------\n\nแต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นอื่นๆ ก็ยังคงมีอยู่\n\nไม่ว่าคุณจะเรียนรู้วิชาพื้นฐานใดๆ มาก็ตาม เมื่อถึงเวลาตอนที่คุณสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ข้อมูลความรู้ส่วนใหญ่ที่คุณได้เรียนรู้มา ก็ไม่สามารถนำมันเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันของคุณได้ -- และสิ่งที่จะเริ่มเกิดความเลวร้ายให้เห็นมากขึ้นกว่าก่อน ตามที่การค้นคว้าของเราเข้าไปในเรื่องของระบบอัตโนมัติและระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าและรุดหน้าขึ้นอยู่เรื่อยๆ ทุกๆ วัน\n\n\nเรื่องนี้ ผอ. Lightfoot ยังคงยืนยันในเรื่องของการศึกษาระดับสูง ที่ช่วยสอนให้นักศึกษาได้รับรู้ถึงบทเรียนอันมีค่า – มันอาจจะยังไม่ปรากฏให้เห็นในบทสรุปของหลักสูตร (Syllabus) ในเวลานี้ก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ร่างเค้าโครงให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง เพื่อเตรียมตัวให้นักศึกษาที่ยังเยาว์วัย มีความพร้อมเพรียงเพื่อจะผจญกับโลกภายนอก และกำลังแรงงานในวันหน้าต่อไป\n\n-------------------------------\n\nการทำงานร่วมกัน สร้างความฝันให้เกิดขึ้นได้ (Teamwork Makes Dream Work)\n\nหลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมด บังคับให้นักศึกษา ทำงานอยู่เคียงข้างกับนักศึกษาคนอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ตามที่ ผอ. Lightfoot เห็นนั้น ก็คือ มันเป็นประเภทของการทดสอบ ที่จะสร้างบทบาทที่มีความจำเป็นต่อการเตรียมพร้อมด้วยการจัดกลุ่มของผู้สมัครงาน ที่โอกาสในการสร้างความเก่งกล้ายอดเยี่ยมเหนือกว่าในองค์การต่างๆ อย่างเช่น องค์การนาซ่า (NASA) เป็นต้น\n\n“มันมีทักษะสองเรื่องที่เราต้องการอยู่อย่างเสมอๆ ” ผอ. Lightfoot กล่าว “นั่นก็คือ ทักษะของการทำงานร่วมกันเป็นทีม, ทำงานร่วมกันกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี และ ต้องเข้าใจอยู่ตลอดว่า คุณจะทำงานประเภทหัวเดียวกระเทียมลีบ (Individual) ไม่ได้อย่างเด็ดขาดในเรื่องเหล่านี้ ผมสามารถบอกให้คุณทราบในตอนนี้ได้เลยว่า ไม่มีใครเลยสักคนในองค์กรนี้ ที่สามารถกล่าวว่า ‘ผมทำบางอย่างลงไป’ ไม่ใช่แบบนั้นแน่ๆ ‘เรา’ ต่างหาก ที่ทำบางสิ่งบางอย่างลงไป”\n\nองค์การอย่าง NASA ไม่สามารถที่จะทำงานชื้นสำคัญๆ (Important work – อ้างอิง: https://futurism.com/tag/NASA/) ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยปราศจากฟันเฟืองแต่ละตัวในเครื่องจักรกล ซึ่งทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียว ระบบอัตโนมัติและระบบหุ่นยนต์ จะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงประเภทของโอกาสในการทำงาน (Job Opportunities - https://futurism.com/robots-are-preparing-to-fill-200000-vacant-construction-jobs/) ในตำแหน่งที่จะเปิดรับให้กับนิสิตนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในทศวรรษหน้าและในอีกภายภาคหน้า แต่เรื่องทักษะของการการร่วมมือร่วมแรงที่ดี (Good Collaboration) ก็ยังคงมีคุณค่าอยู่อย่างเสมอๆ\n\n\n“คุณต้องเรียนรู้ในการสนทนาสื่อสาร” ผอ. Lightfoot เสริมต่อ “ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่สำคัญ และมันเป็นเรื่องบางสิ่งบางอย่างที่คุณสามารถสอนผู้คนได้เสมอ และมันก็เป็นเรื่องสำคัญตลอดไปด้วย” ถึงแม้มันอาจจะยังไม่เห็นเกิดขึ้นอยู่มากมายก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดแล้ว การมีทักษะในเรื่องของการปฎิสัมพันธ์ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered Interactions) จะช่วยสร้างความมั่นใจต่อคุณเองว่า คุณมีโอกาสและฝีมือในการได้รับการว่าจ้างงานในโลกของวันพรุ่งนี้\n\n--------------------------------------------------\n\nความคิดเห็นของผู้แปล:\n\nวันนี้มีความเห็นอยู่สองเรื่อง แต่ขอรวมให้อยู่ในบทความเดียวกัน\n\nเรื่องแรก แสดงให้เห็นถึงโอกาสและเวลา ส่วนเรื่องที่สอง เกี่ยวกับเรื่อง คนเก่ง และ คนดี แต่ทั้งสองบทความ มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในเรื่องของ “คนเก่ง”\n\n--------------\n\nบทความแรก ซึ่ง แสดงให้เห็นถึงเรื่อง เวลา และ โอกาส รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลักสูตรต่างๆ ที่นิสิตนักศึกษาได้เรียนมา ก็กลายเป็นเรื่องที่หมดสมัยและล้าสมัยไป เมื่อตนเองเรียนจบจากสถาบันการศึกษา และต้องไปเผชิญกับโลกของความเป็นจริงว่า ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมขึ้นอีกมากมาย\n\n\nนี่ขนาด ผอ. ของนาซ่า ระบุว่า เวลาเพียงสองปี เรื่องต่างๆ ก็แปรเปลี่ยนไปมาก ดิฉันยังคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าจะให้องค์การนาซ่า มียุทธศาสตร์ที่ตนเองจะต้องปฏิบัติตามอยู่เป็นเวลาถึง 20 ปีนั้น อะไรจะเกิดขึ้นกับองค์การนาซ่าบ้าง และเทคโนโลยีต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหนแล้ว\n\n\nเพราะฉะนั้น องค์การแบบนาซ่า ต้องการ “คนมีทักษะ” หรือ “คนเก่ง” นั่นเอง เพื่อเข้าไปปฎิบัติงาน และ “คนเก่ง” เหล่านี้ จะทำงาน “เป็นทีม” เพื่อเป็น “หัวหอก” ต่อการสร้างความสำเร็จให้กับ “องค์กร” ที่ตนเองทำงานได้\n\nBottom Line คือ องค์การน่าซ่า ต้องการ “คนเก่ง” อย่างแน่นอนที่สุด และองค์การระดับโลกอย่างนาซ่า ไม่มียุทธศาสตร์ประเภทเปลี่ยนแปลงไม่ได้แน่นอน ในระยะเวลา 20 ปีข้างหน้า\n\n\nแถมคงจะไม่ให้คนแก่ประเภทจะเข้าโลงในวันพรุ่งนี้ มาเป็นผู้ดำเนินการหรือจัดการแผนการเหล่านี้อีกด้วย\n\n-----------------------------\n\nขอเริ่มเรื่องที่สองต่อไป คือ เรื่องของ “คนดี” และ “คนเก่ง”\n\nก็เลยกลับมาคิดถึง คำพูดของ มนุษย์ดึกดำบรรพ์อย่าง พลเอก เปรม ที่พยายามเหลือเกิน ในการ “งัด” เอา พระราชดำรัสของในหลวงฯ รัชกาลที่ 9 เข้ามา recycled เพื่อตนเองจะได้ “ดูดี” อยู่อย่างตลอดเวลา\nโดยเฉพาะเรื่องของ “คนดี” กับ “คนเก่ง”\n\nตนเอง อาศัยยันต์ในเรื่องที่ ผู้คนจะมาวิจารณ์ และให้ความเห็นเกี่ยวกับ พระราชดำรัสไม่ได้ ด้วยการเอาเรื่องดีใส่เข้าตัว\n\nประเภท “มัดมือชก” และ “ยัดเยียด” ให้วิจารณ์ไม่ได้ นั่นแหละ\n\nที่แปลกใจมากคือ ตนเองเป็น ประธานองคมนตรีของในหลวงฯ รัชกาลที่ 10 แต่ไม่เคยทำการ “โปรโมท” อะไรให้กับในหลวงฯ องค์ปัจจุบันเลย ทั้งๆ ที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ประธานองคมนตรีของในหลวงรัชกาลที่ 10\n\nถ้าเป็นงานเอกชน ก็พูดง่ายๆ ว่า ไม่เคยกล่าวถึงบอสหัวหน้าคนใหม่เลย มีแต่พูดถึงบอสคนเก่าตลอด ถ้ามีบุคคลประเภทนี้อยู่ในองค์กรเอกชน ผู้คนจะถามทันทีว่า คุณทำงานกินเงินปีกับบอสคนเก่า หรือ บอสคนใหม่กันแน่?\n\nที่สำคัญคือ ควรจะเลิก recycled ได้แล้ว และหันไปทำหน้าที่ หัวหน้าที่ปรึกษาให้กับในหลวงฯ องค์ปัจจุบันจะเหมาะสมกว่าในตำแหน่งหน้าที่นะคะ\n\n-----------------------------\n\nดิฉันขอเขียนเพิ่มนิดหน่อย และในฐานะที่มีประสบการณ์ในการทำงานเกี่ยวกับ Human Resources โดยตรงมามากกว่า 10 ปี เมื่อสมัยอยู่ที่ Department of State และ Department of Justice ใน US นี่แหละ\n\n\nถ้าเราถามหรือใช้คำถามเหล่านี้ กับการสมัครงานใน US โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นของเอกชนหรือของรัฐบาล ทุกองค์กรต้องการ “คนเก่ง” ทั้งนั้น เพราะหมายความว่า เงินปีที่เป็นค่าตอบแทน จะคุ้มกับแรงงานที่บุคคลผู้นั้นทำให้กับองค์กร\n\n\nและ \"คนเก่ง\" จะนำผลกำไร และ ผลผลิตเข้ามาสร้างองค์กรให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป\n\n\nถามบริษัทอย่าง Google, Microsoft, Facebook, Apple, Coca-Cola หรือแม้แต่ Toyota, Sony ของญีปุ่น หรือ Samsung ของ South Korea ก็ได้ว่า เขาต้องการ “the most talented candidates” หรือ “the best moral-character candidates” ก็คงจะดูง่ายๆ (ประเภทไม่มี “เส้นสาย” ว่า องค์กรเหล่านี้จะรับใครเข้าไปทำงานกัน)\n\n-----------------------------\n\nส่วน \"คนดี\" นั้น เป็น subjective มากๆ คือ อยู่ที่ว่า อยู่ในสายตาของใคร \"คนดี\" ในสายตาของเจ้านายเก่า อาจจะเป็น \"คนเลว\" ในสายตาของเจ้านายใหม่ได้\n\n“คนเก่ง” จะสร้างนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมา และให้ “คนดี” กลายเป็นผู้บริโภคไป “คนเก่ง” เป็นคนสร้างโลกขึ้นมา ให้เรามีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ “คนดี” เป็นสมมติฐานตามความเชื่อของตนเอง และเป็นการ “อุปโลกน์” ขึ้นมาเพื่อ “สร้างราคา และ แก้ไขปมด้อย” ที่ตัวเอง “ไม่มีฝีมือเหมือนคนที่เก่งกว่า”\n\nประเภทสร้างวาทะกรรม เรื่อง “มหาอำนาจ” อย่างที่ดิฉันเคยเขียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละ (อ้างอิง: https://www.minds.com/media/756341463775715334)\n\nการสร้างคำเหล่านี้ขึ้นมา ก็เพื่อเป็นการ “สร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อให้ตนเองดูดีขึ้นมาบ้าง” เมื่อต้องไปเทียบกับ “คนเก่งกว่า” ในเรื่องอื่นๆ ก็แค่นั้นเอง\n\n------------------------------\n\nแต่สุดท้ายแล้ว \"คนเก่ง\" จะอยู่รอดตลอดฝั่งแน่นอน เพราะไปที่ไหน ก็มีแต่ \"คนรับ\" และ \"เป็นที่ต้องการ\" ที่จะกลายเป็น \"ทรัพย์สิน\" ขององค์กรนั้นๆ เสมอ\n\n\nเพราะฉะนั้น องค์การอย่างนาซ่า และเกือบทุกองค์กรในประเทศทั่วโลก (ยกเว้นประเทศไทย) ให้ความสำคัญกับ “คนเก่ง” แน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์\n\n\nและโลกดิจิตอล ที่ประกอบไปด้วย เทคโนโลยี, ระบบปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ต่างๆ ที่เรากำลังก้าวสู่อยู่ทุกวันนี้ โลกต้องการบุคคลประเภทไหน ในการแข่งขันเชิงธุุรกิจ และเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์กัน คำตอบก็คงจะเห็นอยู่อย่างทนโท่แล้วว่า โลกต้องการให้ประเทศต่างๆ ผลิตบุคคลระดับไหนหรือมีคุณภาพแบบไหนขึ้นมา\n\n------------------------------\n\nคงยังจำสุภาษิตกันได้ว่า \"คนดี\" ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ กันได้?\n\nคนดี “ตกน้ำ” แต่ก็ยัง \"ไหลไปไหนมาไหนไม่ได้\" ก็คงจะยังจมและงมโข่งอยู่ตรงนั้น...\n\nส่วน \"คนเก่ง\" เขามีวิธีการ \"สร้างหาหนทาง\" เพื่อจะได้ไม่ต้องไป \"ตกน้ำ\" หรือ “เปียกน้ำ” แน่นอน\n\nแถมยังเดินต่อไปได้ ในขณะที่ “คนดี” ยังไม่ไหลไปไหน ต่อให้มีไฟ ก็คงจะไม่ไหม้ เพราะมันยัง “เปียกโชก” อยู่แน่นอน\n\nHappy Monday ค่ะ\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:758842797808689171/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:756341735616946184", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "คำนิยามจริงๆ ของ ประเทศมหาอำนาจ หรือ Superpower Countries ตามที่เห็นมาคือ A nation is the one that is able to exert or project its power to any point of the world. หรือเป็นประเทศที่สำแดงกำลังหรือวางแผนโครงการสร้างอิทธิพลของประเทศตนเอง ได้ใน ณ ที่จุดต่างๆ ของโลกได้ทุกเมื่อ<br /><br /><br />คำว่า มหาอำนาจ หรือ Superpower มีคำนิยามอย่างเป็นทางการว่า เป็นประเทศหรือรัฐที่มีพลังอำนาจในด้านการทหาร, ทางด้านเศรษฐกิจ และ เรื่องที่แน่นอนที่สุดคือ มีพลังอำนาจในด้านวิทยาศาสตร์ (Military, Economics and Sciences) ทั้งสามด้านนี้ เป็นตัวนิยามหลักของคำว่า ประเทศมหาอำนาจ หลังจากที่ประเทศเยอรมัน (นาซี) พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง และในเวลานั้น มีประเทศมหาอำนาจสามประเทศที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่ขึ้นชื่อดังนี้ นั่นคือประเทศสหรัฐอเมริกา, ประเทศสหภาพโซเวียต และประเทศสหราชอาณาจักร<br /><br /><br />------------------------------<br />ต่อมามีการให้คำนิยามเพิ่มในเรื่องของ Superpower countries ว่าจะต้องมีเรื่อง เทคโนโลยี, วัฒนธรรมประเพณี, ทางการทหาร และทางเศรษฐกิจรวมอยู่ รวมไปถึงเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการใช้กลไกในการขยายอิทธิพลในแบบอ่อนโยน (Soft Influence) เข้ามารวมอยู่ด้วย<br /><br /><br />ในปัจจุบัน ประเทศที่มีคุณสมบัติเป็นประเทศมหาอำนาจ ก็ใช้เรื่องหลักการตามที่กล่าวมาเหล่านี้ เข้ามาเทียบคุณสมบัติ ก็เริ่มเห็น ประเทศจีน, ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป, ประเทศอินเดีย และประเทศรัสเซีย เข้ามาร่วมอยู่ด้วยจากการใช้นิยามใหม่ รวมไปถึงประเทศบราซิลเช่นเดียวกัน<br /><br /><br />แต่ประเทศอย่างญี่ปุ่น ก็ได้รับการพิจารณาเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อปี 1991 เกิดขึ้น ประเทศญี่ปุ่นก็เลยตกอันดับเรื่องนี้ไป<br /><br /><br />------------------------------<br /><br /><br />แต่ดิฉันเริ่มเห็น การใช้คำนิยามของประเทศไทยอย่างบ่อยครั้งว่า จะเป็น “ประเทศมหาอำนาจทางผลไม้” บ้าง หรือแม้แต่ “ประเทศมหาอำนาจทางการละคร” อะไรแบบนี้<br /><br /><br />มันเป็น การนำเอาคำนิยามของ “ประเทศมหาอำนาจ” มาใช้กันแบบพลิกแพลงความหมายที่แท้จริง เพราะจริงๆ แล้ว มันมีเรื่องความแข็งแกร่งและพลังอำนาจอยู่ตามที่กล่าวไว้คือ เทคโนโลยี, วัฒนธรรมประเพณี, ทางการทหาร และทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็ทราบดีอยู่ว่า ทางประเทศไทย ไม่มีอะไรที่มีคุณสมบัติไปเทียบเท่ากับกับคำว่า “ประเทศมหาอำนาจ” ตามคำนิยามสากลเลย<br /><br /><br />ไม่ทราบว่าทำไมจะต้อง “สร้างเรื่อง” และ “แต่งความหมาย” ของ Superpower countries ออกไป แล้วจากนั้น ก็เริ่มทำการใช้ \"คำพลิกแพลงตามคำพูด\" ด้วยการใช้คำว่า \"มหาอำนาจ\" บวกกับ \"วาทะกรรมที่สร้างกันด้วยการอวย” ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่น่า \"ยอมรับ\" โดยทางสากลกัน<br /><br /><br />คือพูดง่ายๆ ว่า \"กรูขอเป็นมหาอำนาจ\" บ้าง เพราะต้องการจะเป็นแค่ \"ราคาคุยอวด\" ว่า “ฉันก็มีเรื่องยอดเยี่ยมประเภท ‘ที่สุดในโลก’ เหมือนกัน”<br /><br /><br />------------------------------<br /><br />เดี๋ยวนี้ มีคำพูดกันว่า ประเทศไทย จะเป็นประเทศ่า \"มหาอำนาจด้านผลไม้\" หรือไม่ก็ \"มหาอำนาจด้านการละคร\" ซึ่งจริงๆ แล้ว ดิฉันก็งงมากๆ ว่า มันหมายความว่าอย่างไร? มหาอำนาจทางผลไม้คืออะไร? ก็ไม่เห็นมีใครตอบได้เป็นฉากๆ ว่า มันเป็นมหาอำนาจอย่างไร...<br /><br />มันเหมือนกับว่า “สักแต่จะพูด” เพื่อ “สร้างกลไกทางจิต” ว่า ตนเองวิเศษเป็น “ที่หนึ่งของโลก” เมื่อไม่สามารถเป็นในเรื่อง “สากล” ได้ ก็ “ผลิตนิยาม” ตัวใหม่ออกมา เพื่อโอ้อวดให้ทั้งคนพูดและคนฟัง เกิดความภาคภูมิใจ<br /><br />แถมสื่อต่างๆ ก็ลงข่าวกันแบบ ขยายข้อความ ประเภทเออออ อวยทุกอย่าง เห็นด้วยไปหมด<br /><br />------------------------------<br /><br />อีกหน่อยก็คงจะมีข้อสอบให้กับเด็กนักเรียนว่า ประเทศไทยเป็นประเทศมหาอำนาจทางด้านอะไรบ้าง? ก็คงจะมีการ “ยัดเรื่องแบบนี้” เข้าไปเสริมในชั้นเรียนกัน แถมออกข้อสอบกันด้วยก็ได้<br /><br />การให้ความรู้กันแบบผิดๆ อีก ในเรื่องของ “ประเทศมหาอำนาจ” กลายเป็นเรื่องที่เห็นบ่อยครั้ง เหมือนกับว่า จะสร้างอะไรให้ดีที่สุดสักอย่าง ก็เป็น “มหาอำนาจ” กันแล้ว<br /><br />ก็อยากให้ลองกลับไปคิดกันดีๆ ว่า “มหาอำนาจ” อย่างแท้จริงนั้น มันจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?<br />หรือว่า รัฐๆ หนึ่ง มีสวนผลไม้ มีผลไม้เต็มเมือง มีละครเต็มทีวีทุกช่อง ก็กลายเป็น “ประเทศมหาอำนาจ”กันได้ง่ายๆ<br /><br />อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราก็คงจะมีการสร้างวาทะกรรมเรื่อง “ประเทศมหาอำนาจ” ขึ้นมาอีก เพียงแต่แค่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่จะ “แต่งเติมออกมา” ให้ผู้คนได้รับฟังคารมกันอีก<br /><br />Happy Monday ค่ะ<br /><br />D. Spencer-Isenberg", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/756341735616946184", "published": "2017-09-18T02:31:55+00:00", "source": { "content": "คำนิยามจริงๆ ของ ประเทศมหาอำนาจ หรือ Superpower Countries ตามที่เห็นมาคือ A nation is the one that is able to exert or project its power to any point of the world. หรือเป็นประเทศที่สำแดงกำลังหรือวางแผนโครงการสร้างอิทธิพลของประเทศตนเอง ได้ใน ณ ที่จุดต่างๆ ของโลกได้ทุกเมื่อ\n\n\nคำว่า มหาอำนาจ หรือ Superpower มีคำนิยามอย่างเป็นทางการว่า เป็นประเทศหรือรัฐที่มีพลังอำนาจในด้านการทหาร, ทางด้านเศรษฐกิจ และ เรื่องที่แน่นอนที่สุดคือ มีพลังอำนาจในด้านวิทยาศาสตร์ (Military, Economics and Sciences) ทั้งสามด้านนี้ เป็นตัวนิยามหลักของคำว่า ประเทศมหาอำนาจ หลังจากที่ประเทศเยอรมัน (นาซี) พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง และในเวลานั้น มีประเทศมหาอำนาจสามประเทศที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่ขึ้นชื่อดังนี้ นั่นคือประเทศสหรัฐอเมริกา, ประเทศสหภาพโซเวียต และประเทศสหราชอาณาจักร\n\n\n------------------------------\nต่อมามีการให้คำนิยามเพิ่มในเรื่องของ Superpower countries ว่าจะต้องมีเรื่อง เทคโนโลยี, วัฒนธรรมประเพณี, ทางการทหาร และทางเศรษฐกิจรวมอยู่ รวมไปถึงเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการใช้กลไกในการขยายอิทธิพลในแบบอ่อนโยน (Soft Influence) เข้ามารวมอยู่ด้วย\n\n\nในปัจจุบัน ประเทศที่มีคุณสมบัติเป็นประเทศมหาอำนาจ ก็ใช้เรื่องหลักการตามที่กล่าวมาเหล่านี้ เข้ามาเทียบคุณสมบัติ ก็เริ่มเห็น ประเทศจีน, ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป, ประเทศอินเดีย และประเทศรัสเซีย เข้ามาร่วมอยู่ด้วยจากการใช้นิยามใหม่ รวมไปถึงประเทศบราซิลเช่นเดียวกัน\n\n\nแต่ประเทศอย่างญี่ปุ่น ก็ได้รับการพิจารณาเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อปี 1991 เกิดขึ้น ประเทศญี่ปุ่นก็เลยตกอันดับเรื่องนี้ไป\n\n\n------------------------------\n\n\nแต่ดิฉันเริ่มเห็น การใช้คำนิยามของประเทศไทยอย่างบ่อยครั้งว่า จะเป็น “ประเทศมหาอำนาจทางผลไม้” บ้าง หรือแม้แต่ “ประเทศมหาอำนาจทางการละคร” อะไรแบบนี้\n\n\nมันเป็น การนำเอาคำนิยามของ “ประเทศมหาอำนาจ” มาใช้กันแบบพลิกแพลงความหมายที่แท้จริง เพราะจริงๆ แล้ว มันมีเรื่องความแข็งแกร่งและพลังอำนาจอยู่ตามที่กล่าวไว้คือ เทคโนโลยี, วัฒนธรรมประเพณี, ทางการทหาร และทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็ทราบดีอยู่ว่า ทางประเทศไทย ไม่มีอะไรที่มีคุณสมบัติไปเทียบเท่ากับกับคำว่า “ประเทศมหาอำนาจ” ตามคำนิยามสากลเลย\n\n\nไม่ทราบว่าทำไมจะต้อง “สร้างเรื่อง” และ “แต่งความหมาย” ของ Superpower countries ออกไป แล้วจากนั้น ก็เริ่มทำการใช้ \"คำพลิกแพลงตามคำพูด\" ด้วยการใช้คำว่า \"มหาอำนาจ\" บวกกับ \"วาทะกรรมที่สร้างกันด้วยการอวย” ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่น่า \"ยอมรับ\" โดยทางสากลกัน\n\n\nคือพูดง่ายๆ ว่า \"กรูขอเป็นมหาอำนาจ\" บ้าง เพราะต้องการจะเป็นแค่ \"ราคาคุยอวด\" ว่า “ฉันก็มีเรื่องยอดเยี่ยมประเภท ‘ที่สุดในโลก’ เหมือนกัน”\n\n\n------------------------------\n\nเดี๋ยวนี้ มีคำพูดกันว่า ประเทศไทย จะเป็นประเทศ่า \"มหาอำนาจด้านผลไม้\" หรือไม่ก็ \"มหาอำนาจด้านการละคร\" ซึ่งจริงๆ แล้ว ดิฉันก็งงมากๆ ว่า มันหมายความว่าอย่างไร? มหาอำนาจทางผลไม้คืออะไร? ก็ไม่เห็นมีใครตอบได้เป็นฉากๆ ว่า มันเป็นมหาอำนาจอย่างไร...\n\nมันเหมือนกับว่า “สักแต่จะพูด” เพื่อ “สร้างกลไกทางจิต” ว่า ตนเองวิเศษเป็น “ที่หนึ่งของโลก” เมื่อไม่สามารถเป็นในเรื่อง “สากล” ได้ ก็ “ผลิตนิยาม” ตัวใหม่ออกมา เพื่อโอ้อวดให้ทั้งคนพูดและคนฟัง เกิดความภาคภูมิใจ\n\nแถมสื่อต่างๆ ก็ลงข่าวกันแบบ ขยายข้อความ ประเภทเออออ อวยทุกอย่าง เห็นด้วยไปหมด\n\n------------------------------\n\nอีกหน่อยก็คงจะมีข้อสอบให้กับเด็กนักเรียนว่า ประเทศไทยเป็นประเทศมหาอำนาจทางด้านอะไรบ้าง? ก็คงจะมีการ “ยัดเรื่องแบบนี้” เข้าไปเสริมในชั้นเรียนกัน แถมออกข้อสอบกันด้วยก็ได้\n\nการให้ความรู้กันแบบผิดๆ อีก ในเรื่องของ “ประเทศมหาอำนาจ” กลายเป็นเรื่องที่เห็นบ่อยครั้ง เหมือนกับว่า จะสร้างอะไรให้ดีที่สุดสักอย่าง ก็เป็น “มหาอำนาจ” กันแล้ว\n\nก็อยากให้ลองกลับไปคิดกันดีๆ ว่า “มหาอำนาจ” อย่างแท้จริงนั้น มันจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?\nหรือว่า รัฐๆ หนึ่ง มีสวนผลไม้ มีผลไม้เต็มเมือง มีละครเต็มทีวีทุกช่อง ก็กลายเป็น “ประเทศมหาอำนาจ”กันได้ง่ายๆ\n\nอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราก็คงจะมีการสร้างวาทะกรรมเรื่อง “ประเทศมหาอำนาจ” ขึ้นมาอีก เพียงแต่แค่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่จะ “แต่งเติมออกมา” ให้ผู้คนได้รับฟังคารมกันอีก\n\nHappy Monday ค่ะ\n\nD. Spencer-Isenberg", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:756341735616946184/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:753421773692739584", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193", "content": "<a href=\"https://www.minds.com/blog/view/753421772795158528\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/blog/view/753421772795158528</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/753421773692739584", "published": "2017-09-10T01:09:08+00:00", "source": { "content": "https://www.minds.com/blog/view/753421772795158528", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/entities/urn:activity:753421773692739584/activity" } ], "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/outbox", "partOf": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575299527901192193/outboxoutbox" }