A small tool to view real-world ActivityPub objects as JSON! Enter a URL
or username from Mastodon or a similar service below, and we'll send a
request with
the right
Accept
header
to the server to view the underlying object.
{
"@context": "https://www.w3.org/ns/activitystreams",
"type": "OrderedCollectionPage",
"orderedItems": [
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1114125207515262976",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=อย่าจากโลกนี้ไป\" title=\"#อย่าจากโลกนี้ไป\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#อย่าจากโลกนี้ไป</a> ถ้าคุณยังมีไฟหลืออยู่ในตัวคุณ<br /><br />สิ่งที่เหนือกว่าเงิน...คือ...<br /><br />มนุษย์ทุกคน อยากรู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่า<br /><br />อยาก แสดงออกถึงศักยภาพ ของตัวเอง<br /><br />ถ้าไม่ได้ทำ จะไม่มีทางมีความสุข<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=MindsTh\" title=\"#MindsTh\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#MindsTh</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1114125207515262976",
"published": "2020-06-01T09:35:48+00:00",
"source": {
"content": "#อย่าจากโลกนี้ไป ถ้าคุณยังมีไฟหลืออยู่ในตัวคุณ\n\nสิ่งที่เหนือกว่าเงิน...คือ...\n\nมนุษย์ทุกคน อยากรู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่า\n\nอยาก แสดงออกถึงศักยภาพ ของตัวเอง\n\nถ้าไม่ได้ทำ จะไม่มีทางมีความสุข\n\n#MindsTh",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1114125207515262976/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113764679596994560",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br /><br />💋นอนทับแขนตัวเอง หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดการกดทับเส้นเลือด เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และเกิดอาการชา<br /><br />💋ขาดวิตามินบี เพราะวิตามินบีช่วยบำรุง และซ่อมแซมระบบประสาทให้ทำงานได้ปกติ หากได้รับวิตามินบีน้อยเกินไป จะทำให้เส้นประสาทเกิดการอักเสบ และมีอาการมือเท้าชาได้<br /><br />💋ป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง<br /><br />💋ได้รับสารเคมี หรือยาบางชนิด เช่น ได้รับยากันชัก พิษจากโลหะหนักบางชนิด<br />อาการการถอนยา เช่น อาการถอนยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine)<br />ภาวะเครียด หรือวิตกกังกวล<br /><br />อาการมือเท้าชาแบบต่างๆ<br />อาการมือเท้าชามีหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีสาเหตุที่ต่างกัน ดังนี้ <br /><br />🔸ชาเฉพาะนิ้วโป้ง ชี้ กลาง และนิ้วนางครึ่งซีก เกิดจากเส้นประสาทมือถูกบีบรัด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้เพียงพอ หรือพังผืดเสื่อมสภาพ และหนาขึ้นจนไปกดทับเส้นประสาทมือ ส่งผลให้มีอาการชา<br /><br />🔸ชานิ้วโป้ง ชี้ กลาง และมีอาการปวดมือ เกิดจากการเกร็งมืออยู่ท่าเดิมนานๆ ทำให้เส้นประสาทกดทับที่ฝ่ามือ<br />ชานิ้วก้อย เกิดจากเส้นประสาทบริเวณรักแร้อักเสบ เนื่องจากงอ และเกร็งข้อศอกเป็นเวลานาน<br /><br />🔸ชาปลายเท้าและปลายมือ เกิดจากปลายประสาทเสื่อม หรืออักเสบจากการขาดวิตามินบี หรือป่วยด้วยโรคบางโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคไต หรือการได้รับสารพิษ<br /><br />🔸ชาปลายนิ้วมือเกือบทุกนิ้ว เกิดจากการใช้มือทำงานหนักมากเกินไป ทำให้เอ็นกดทับเส้นประสาทตรงข้อมือ มักมีอาการชาช่วงกลางคืน<br /><br />🔸ชานิ้วก้อย นิ้วนาง และสันมือ เกิดจากเส้นประสาทบริเวณข้อศอกถูกกดทับ ทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงบริเวณแขนท่อนล่างได้ไม่สะดวก <br /><br />🔸ชาง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณต้นแขน <br /><br />🔸ชาทั้งแถบ เกิดจากกระดูกต้นคอกดทับเส้นประสาท หรือกระดูกต้นคอเสื่อม เป็นอาการที่อันตรายมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทันที<br /><br />🔸ชาหลังเท้าไปถึงหน้าแข้ง เกิดจากการนั่งไขว่ห้างนานๆ หรือนั่งพับเพียบ ทำให้เส้นประสาทบริเวณใต้เข่าด้านนอกถูกกดทับ ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดติดขัดจนเกิดอาการชา<br />ชาทั้งเท้าไปถึงสะโพก เกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะอาจเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้<br /><br />🔸ชาปลายเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้ว เกิดจากเส้นประสาทถูกทำลายเสียหายหลายเส้น ส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่ดื่มแอกอฮอล์เป็นประจำ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปทำลายเส้นประสาท<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Health\" title=\"#Health\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Health</a><br />",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1113764679596994560",
"published": "2020-05-31T09:43:11+00:00",
"source": {
"content": "\n\n💋นอนทับแขนตัวเอง หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดการกดทับเส้นเลือด เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และเกิดอาการชา\n\n💋ขาดวิตามินบี เพราะวิตามินบีช่วยบำรุง และซ่อมแซมระบบประสาทให้ทำงานได้ปกติ หากได้รับวิตามินบีน้อยเกินไป จะทำให้เส้นประสาทเกิดการอักเสบ และมีอาการมือเท้าชาได้\n\n💋ป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง\n\n💋ได้รับสารเคมี หรือยาบางชนิด เช่น ได้รับยากันชัก พิษจากโลหะหนักบางชนิด\nอาการการถอนยา เช่น อาการถอนยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine)\nภาวะเครียด หรือวิตกกังกวล\n\nอาการมือเท้าชาแบบต่างๆ\nอาการมือเท้าชามีหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีสาเหตุที่ต่างกัน ดังนี้ \n\n🔸ชาเฉพาะนิ้วโป้ง ชี้ กลาง และนิ้วนางครึ่งซีก เกิดจากเส้นประสาทมือถูกบีบรัด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้เพียงพอ หรือพังผืดเสื่อมสภาพ และหนาขึ้นจนไปกดทับเส้นประสาทมือ ส่งผลให้มีอาการชา\n\n🔸ชานิ้วโป้ง ชี้ กลาง และมีอาการปวดมือ เกิดจากการเกร็งมืออยู่ท่าเดิมนานๆ ทำให้เส้นประสาทกดทับที่ฝ่ามือ\nชานิ้วก้อย เกิดจากเส้นประสาทบริเวณรักแร้อักเสบ เนื่องจากงอ และเกร็งข้อศอกเป็นเวลานาน\n\n🔸ชาปลายเท้าและปลายมือ เกิดจากปลายประสาทเสื่อม หรืออักเสบจากการขาดวิตามินบี หรือป่วยด้วยโรคบางโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคไต หรือการได้รับสารพิษ\n\n🔸ชาปลายนิ้วมือเกือบทุกนิ้ว เกิดจากการใช้มือทำงานหนักมากเกินไป ทำให้เอ็นกดทับเส้นประสาทตรงข้อมือ มักมีอาการชาช่วงกลางคืน\n\n🔸ชานิ้วก้อย นิ้วนาง และสันมือ เกิดจากเส้นประสาทบริเวณข้อศอกถูกกดทับ ทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงบริเวณแขนท่อนล่างได้ไม่สะดวก \n\n🔸ชาง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณต้นแขน \n\n🔸ชาทั้งแถบ เกิดจากกระดูกต้นคอกดทับเส้นประสาท หรือกระดูกต้นคอเสื่อม เป็นอาการที่อันตรายมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทันที\n\n🔸ชาหลังเท้าไปถึงหน้าแข้ง เกิดจากการนั่งไขว่ห้างนานๆ หรือนั่งพับเพียบ ทำให้เส้นประสาทบริเวณใต้เข่าด้านนอกถูกกดทับ ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดติดขัดจนเกิดอาการชา\nชาทั้งเท้าไปถึงสะโพก เกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะอาจเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้\n\n🔸ชาปลายเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้ว เกิดจากเส้นประสาทถูกทำลายเสียหายหลายเส้น ส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่ดื่มแอกอฮอล์เป็นประจำ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปทำลายเส้นประสาท\n\n#Mindsth #Health\n",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113764679596994560/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113441692911198208",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "ทำงานแลกเงินอย่าแลกทั้งชีวิตไปเพื่อบริษัท<br />พึงระลึกไว้เสมอว่า...<br /><br />\"บริษัทไม่ได้มีบุญคุณต่อเรา<br />เราไม่ได้มีบุญคุณต่อบริษัท<br /><br />เราทำงานแลกเงิน<br />บริษัทได้งาน เราได้เงิน<br />ไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใคร<br /><br />ในยามวิกฤต<br />เขาสนทางรอดของธุรกิจ<br />มาก่อนชีวิตพนักงานเสมอ\"<br /><br />จงจำไว้ว่า \"ไม่มีอะไรมั่นคงทั้งนั้น มีแต่ตัวเราที่ต้องพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ในชีวิตอยู่เสมอ อย่างมีสติและปัญญา\"<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Education\" title=\"#Education\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Education</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Quotes\" title=\"#Quotes\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Quotes</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1113441692911198208",
"published": "2020-05-30T12:19:46+00:00",
"source": {
"content": "ทำงานแลกเงินอย่าแลกทั้งชีวิตไปเพื่อบริษัท\nพึงระลึกไว้เสมอว่า...\n\n\"บริษัทไม่ได้มีบุญคุณต่อเรา\nเราไม่ได้มีบุญคุณต่อบริษัท\n\nเราทำงานแลกเงิน\nบริษัทได้งาน เราได้เงิน\nไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใคร\n\nในยามวิกฤต\nเขาสนทางรอดของธุรกิจ\nมาก่อนชีวิตพนักงานเสมอ\"\n\nจงจำไว้ว่า \"ไม่มีอะไรมั่นคงทั้งนั้น มีแต่ตัวเราที่ต้องพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ในชีวิตอยู่เสมอ อย่างมีสติและปัญญา\"\n\n#Mindsth #Education #Quotes",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113441692911198208/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113423950460018688",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "Dr. Heidi Halvorson ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการทำงาน ได้ทำการวิจัยว่าคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้เขามีอะไรดี จนได้พบว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่ชนะการแข่งขันด้านวิชาการ นักกีฬานานาชาติที่พิชิตเหรียญทองโอลิมปิก มนุษย์เงินเดือนที่เป็นดาวเด่นขององค์กร ตลอดจนผู้นำที่เราคุ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็น Steve Jobs, Bill Gates หรือ Warren Buffett คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันหลายข้อ พอสรุปได้ 8 ประเด็นดังนี้<br /><br /><br />1.ไม่เบลอ<br />กล่าวคือ เขาตั้งหลักโดยรู้กระจ่างว่าเขาต้องการอะไร และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจง จะได้จินตนาการได้ชัดแจ๋วว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไร อาทิ การตั้งใจว่า “จะลดน้ำหนักให้ได้” ยังไม่ให้ความชัดเจน ปรับเป็น “ลดน้ำหนัก 3 กิโล ใน 6 เดือน” จะเห็นเป้าหมายได้แจ่มชัด เป็นตัวสร้างความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงฝันที่วาดไว้<br /><br /><br />2. ไม่มั่ว<br />เขามีแนวทางและแผนงานชัดเจนว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย หากจะลดน้ำหนักต้องวางแผน และจับให้มั่นคั้นให้ตายว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ เช่น “จะวิ่งครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 วัน” หากเพียงบอกว่า “จะออกกำลังกายสม่ำเสมอ” ยังอาจทำให้เผลอได้ จึงต้องจ้ำจี้จ้ำไช วาดแผนให้ชัดเจน<br /><br />Dr. Heidi ฟันธงว่า การมีแผนงานที่ชัดเจนและมุ่งมั่นทำตามแผนอย่างไม่ยอมแพ้ จะเสริมเพิ่มอัตราความสำเร็จถึง 3 เท่าเลยทีเดียว<br /><br /><br />3.ไม่หลงระเริง<br />คนกลุ่มนี้มีสติ เตือนตนตลอดว่าตอนนี้ก้าวหน้า หรือแม้แต่ถอยหลังไปถึงไหน ผู้ที่ประสบความสำเร็จ ตระหนักรู้ว่าตนเองอยู่ตรงใด จะได้รู้ว่าเหลือระยะเวลาอีกนานไหม ใกล้ถึงเป้าแล้วเหรอยัง จะได้ปรับผังปรับแผนได้ทันท่วงที<br /><br />วิธีหนึ่งที่ทำง่ายๆ ในการติดตามงาน คือ การมี “หลักกิโลเมตร” วัดระหว่างทาง อาทิ หากรอชั่งน้ำหนักหลังเวลาผ่านไป 6 เดือน มีสิทธิ์เป้าสะเทือนได้ง่ายๆ<br /><br />ในกรณีที่ได้เป้าก็แล้วไป หากไม่ได้ แถมน้ำหนักขึ้น สิ่งที่เรียกร้องกลับมาไม่เคยได้ คือเวลาที่ผ่านไป ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่เคยหวนกลับคืนมา คนวัดจึงได้แต่ทำหน้าจืด วืดเป้า เพราะขาดการติดตามผลงานแบบใกล้ชิดระหว่างทาง จะกลับไปแก้ตัว ก็ไม่ได้ สายเกิน<br /><br /><br />4.ไม่หวังลมๆแล้งๆ<br />คนที่ประสบความสำเร็จมองโลกในแง่ดี แต่เผื่อที่เผื่อใจไว้สำหรับความจริง อีกนัยหนึ่ง คนที่ประสบความสำเร็จล้วนกล้าฝัน แต่ขณะเดียวกัน ก็มิได้ฝันเฟื่อง หวังพึ่งลม พึ่งแล้งให้แห้งเหี่ยว เปลี่ยวใจ เพราะไปไม่ถึงฝันเสียที<br /><br />หวังว่าจะสวยแบบพี่อั้ม จึงตั้งใจลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมใน 2 เดือน เอาเข้าจริงๆ ทำไม่ได้ เลยใช้วิธีกินยาที่หาเอง นอกจากไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก ยังอาจต้องพักรักษาตัวจากปัญหาสารพัดที่เป็นผลพลอยเสียตามมา<br /><br />คนที่ประสบความสำเร็จ จึงผสมผสานการกล้าฝันกับกล้าตื่นรู้รับความจริง ว่าสิ่งใดน่าจะทำได้ สิ่งใดไกลเกินเอื้อม การดำเนินการก้าวสู่ฝัน จึงทั้งท้าทายและเป็นไปได้ในเวลาเดียวกัน<br /><br /><br />5. ไม่เหลาะแหละ<br />คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเป้าหมายที่อยากได้ คงไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายเหมือนเล่นขายของ ยอมให้ท้อได้บ้าง แต่ของแท้ต้องไม่ยอมแพ้ หาทางแก้ใหม่ๆ ล้มได้ก็ลุกได้ ไหนๆ จะกัด ต้องกัดให้ติด มีชีวิตเหมือนแมว ตายแล้วเกิดใหม่ได้ 9 ครั้ง<br /><br />อัตชีวประวัติของใครต่อใครที่ประสบความสำเร็จ อาจจะมีหนทางที่แตกต่าง หลากหลาย แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันมาก คือ เขาต่างสอบผ่านข้อสอบวิชา “ลุกหลังล้ม” มาแล้วทั้งสิ้น<br /><br /><br />6. ไม่ใจเสาะ<br />คนกลุ่มนี้ใจเด็ด การที่ใครจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จะต้องอาศัยพลังใจที่มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว<br />Dr. Heidi เล่าว่า คนเรามิได้เกิดมาพร้อมใจที่เด็ด หรือ ไม่เด็ด แต่กลุ่มคนที่แกศึกษา ล้วนได้มาซึ่งความใจเด็ดจากการฝึก การหักห้ามใจ การมีวินัยในเรื่องเล็กๆ ในชีวิตก่อน แล้วจึงใช้ใจที่แข็งแกร่ง เป็นแรงภายใน ที่ใครไม่มี ยากที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องสำคัญๆ<br /><br /><br />7. ไม่ประมาท<br />คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ แม้คิดใหญ่ คิดไกล แต่ก็ไม่มุทะลุ หรือมั่นใจในตนเองจนมองไม่เห็นภัยหรืออุปสรรคที่อาจมากล้ำกราย<br /><br />เขาคงเรียนรู้จากแมวคราว 9 ชีวิตเจ้าเก่าว่า 4 เท้ายังรู้พลาด จึงมีแผนสำรอง แผนฉุกเฉินไว้เตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไม่ประมาท<br /><br /><br />8. ไม่หยุดอยู่กับที่<br />คนกลุ่มนี้รักที่จะก้าวไปข้างหน้า กล้าฝัน ไม่หยุดนิ่ง เขามองเห็นการพัฒนาตนเอง เป็นเสมือน “การเดินทาง” มิใช่ “จุดหมายปลายทาง”<br /><br />ยิ่งในภาวะปัจจุบันที่โลกแปรผันตลอด การพัฒนาจึงเป็นการเดินทางที่มิได้เน้นจุดหมาย แต่เน้นการขยับขับเคลื่อนไปข้างหน้า อย่างไม่เคยยอมล้าหลัง<br /><br /><br />Dr. Heidi สรุปอย่างเป็นกำลังใจให้เราทุกคนว่า คนที่ประสบความสำเร็จที่เราเห็นโลดแล่นไปมา เขาประสบความสำเร็จได้ เป็นเพราะ What they do, not who they are สำเร็จเพราะเขาทำอะไร มิใช่สำเร็จเพราะเขาคือใคร เราเป็นใคร จะยาก ดี มี จน ก็ประสบความสำเร็จได้ <br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Education\" title=\"#Education\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Education</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1113423950460018688",
"published": "2020-05-30T11:09:15+00:00",
"source": {
"content": "Dr. Heidi Halvorson ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการทำงาน ได้ทำการวิจัยว่าคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้เขามีอะไรดี จนได้พบว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่ชนะการแข่งขันด้านวิชาการ นักกีฬานานาชาติที่พิชิตเหรียญทองโอลิมปิก มนุษย์เงินเดือนที่เป็นดาวเด่นขององค์กร ตลอดจนผู้นำที่เราคุ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็น Steve Jobs, Bill Gates หรือ Warren Buffett คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันหลายข้อ พอสรุปได้ 8 ประเด็นดังนี้\n\n\n1.ไม่เบลอ\nกล่าวคือ เขาตั้งหลักโดยรู้กระจ่างว่าเขาต้องการอะไร และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจง จะได้จินตนาการได้ชัดแจ๋วว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไร อาทิ การตั้งใจว่า “จะลดน้ำหนักให้ได้” ยังไม่ให้ความชัดเจน ปรับเป็น “ลดน้ำหนัก 3 กิโล ใน 6 เดือน” จะเห็นเป้าหมายได้แจ่มชัด เป็นตัวสร้างความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงฝันที่วาดไว้\n\n\n2. ไม่มั่ว\nเขามีแนวทางและแผนงานชัดเจนว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย หากจะลดน้ำหนักต้องวางแผน และจับให้มั่นคั้นให้ตายว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ เช่น “จะวิ่งครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 วัน” หากเพียงบอกว่า “จะออกกำลังกายสม่ำเสมอ” ยังอาจทำให้เผลอได้ จึงต้องจ้ำจี้จ้ำไช วาดแผนให้ชัดเจน\n\nDr. Heidi ฟันธงว่า การมีแผนงานที่ชัดเจนและมุ่งมั่นทำตามแผนอย่างไม่ยอมแพ้ จะเสริมเพิ่มอัตราความสำเร็จถึง 3 เท่าเลยทีเดียว\n\n\n3.ไม่หลงระเริง\nคนกลุ่มนี้มีสติ เตือนตนตลอดว่าตอนนี้ก้าวหน้า หรือแม้แต่ถอยหลังไปถึงไหน ผู้ที่ประสบความสำเร็จ ตระหนักรู้ว่าตนเองอยู่ตรงใด จะได้รู้ว่าเหลือระยะเวลาอีกนานไหม ใกล้ถึงเป้าแล้วเหรอยัง จะได้ปรับผังปรับแผนได้ทันท่วงที\n\nวิธีหนึ่งที่ทำง่ายๆ ในการติดตามงาน คือ การมี “หลักกิโลเมตร” วัดระหว่างทาง อาทิ หากรอชั่งน้ำหนักหลังเวลาผ่านไป 6 เดือน มีสิทธิ์เป้าสะเทือนได้ง่ายๆ\n\nในกรณีที่ได้เป้าก็แล้วไป หากไม่ได้ แถมน้ำหนักขึ้น สิ่งที่เรียกร้องกลับมาไม่เคยได้ คือเวลาที่ผ่านไป ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่เคยหวนกลับคืนมา คนวัดจึงได้แต่ทำหน้าจืด วืดเป้า เพราะขาดการติดตามผลงานแบบใกล้ชิดระหว่างทาง จะกลับไปแก้ตัว ก็ไม่ได้ สายเกิน\n\n\n4.ไม่หวังลมๆแล้งๆ\nคนที่ประสบความสำเร็จมองโลกในแง่ดี แต่เผื่อที่เผื่อใจไว้สำหรับความจริง อีกนัยหนึ่ง คนที่ประสบความสำเร็จล้วนกล้าฝัน แต่ขณะเดียวกัน ก็มิได้ฝันเฟื่อง หวังพึ่งลม พึ่งแล้งให้แห้งเหี่ยว เปลี่ยวใจ เพราะไปไม่ถึงฝันเสียที\n\nหวังว่าจะสวยแบบพี่อั้ม จึงตั้งใจลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมใน 2 เดือน เอาเข้าจริงๆ ทำไม่ได้ เลยใช้วิธีกินยาที่หาเอง นอกจากไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก ยังอาจต้องพักรักษาตัวจากปัญหาสารพัดที่เป็นผลพลอยเสียตามมา\n\nคนที่ประสบความสำเร็จ จึงผสมผสานการกล้าฝันกับกล้าตื่นรู้รับความจริง ว่าสิ่งใดน่าจะทำได้ สิ่งใดไกลเกินเอื้อม การดำเนินการก้าวสู่ฝัน จึงทั้งท้าทายและเป็นไปได้ในเวลาเดียวกัน\n\n\n5. ไม่เหลาะแหละ\nคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเป้าหมายที่อยากได้ คงไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายเหมือนเล่นขายของ ยอมให้ท้อได้บ้าง แต่ของแท้ต้องไม่ยอมแพ้ หาทางแก้ใหม่ๆ ล้มได้ก็ลุกได้ ไหนๆ จะกัด ต้องกัดให้ติด มีชีวิตเหมือนแมว ตายแล้วเกิดใหม่ได้ 9 ครั้ง\n\nอัตชีวประวัติของใครต่อใครที่ประสบความสำเร็จ อาจจะมีหนทางที่แตกต่าง หลากหลาย แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันมาก คือ เขาต่างสอบผ่านข้อสอบวิชา “ลุกหลังล้ม” มาแล้วทั้งสิ้น\n\n\n6. ไม่ใจเสาะ\nคนกลุ่มนี้ใจเด็ด การที่ใครจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จะต้องอาศัยพลังใจที่มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว\nDr. Heidi เล่าว่า คนเรามิได้เกิดมาพร้อมใจที่เด็ด หรือ ไม่เด็ด แต่กลุ่มคนที่แกศึกษา ล้วนได้มาซึ่งความใจเด็ดจากการฝึก การหักห้ามใจ การมีวินัยในเรื่องเล็กๆ ในชีวิตก่อน แล้วจึงใช้ใจที่แข็งแกร่ง เป็นแรงภายใน ที่ใครไม่มี ยากที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องสำคัญๆ\n\n\n7. ไม่ประมาท\nคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ แม้คิดใหญ่ คิดไกล แต่ก็ไม่มุทะลุ หรือมั่นใจในตนเองจนมองไม่เห็นภัยหรืออุปสรรคที่อาจมากล้ำกราย\n\nเขาคงเรียนรู้จากแมวคราว 9 ชีวิตเจ้าเก่าว่า 4 เท้ายังรู้พลาด จึงมีแผนสำรอง แผนฉุกเฉินไว้เตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไม่ประมาท\n\n\n8. ไม่หยุดอยู่กับที่\nคนกลุ่มนี้รักที่จะก้าวไปข้างหน้า กล้าฝัน ไม่หยุดนิ่ง เขามองเห็นการพัฒนาตนเอง เป็นเสมือน “การเดินทาง” มิใช่ “จุดหมายปลายทาง”\n\nยิ่งในภาวะปัจจุบันที่โลกแปรผันตลอด การพัฒนาจึงเป็นการเดินทางที่มิได้เน้นจุดหมาย แต่เน้นการขยับขับเคลื่อนไปข้างหน้า อย่างไม่เคยยอมล้าหลัง\n\n\nDr. Heidi สรุปอย่างเป็นกำลังใจให้เราทุกคนว่า คนที่ประสบความสำเร็จที่เราเห็นโลดแล่นไปมา เขาประสบความสำเร็จได้ เป็นเพราะ What they do, not who they are สำเร็จเพราะเขาทำอะไร มิใช่สำเร็จเพราะเขาคือใคร เราเป็นใคร จะยาก ดี มี จน ก็ประสบความสำเร็จได้ \n\n#Mindsth #Education",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113423950460018688/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113402287271141376",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br /><br />หลายคนอาจจะเคยทราบมาบ้างแล้วว่า เนื้อสัตว์ เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง แต่ก็ไม่ใช่เนื้อสัตว์ทุกประเภท และวิธีการทานเนื้อสัตว์ที่ถูกต้อง ก็ไม่ได้เพิ่มอันตรายในการเป็นโรคมะเร็งแต่อย่างใด ดังนั้นหากเราเลือกทานเนื้อสัตว์ถูกวิธี เราก็สามารถมีชีวิตที่อยู่รอดปลอดภัยจากโรคมะเร็งได้ไม่ยาก<br /><br /> <br /><br />เลือกกิน “เนื้อสัตว์” อย่างไร ห่างไกล “มะเร็ง”<br /><br />เลือกทานเนื้อสีอ่อน อย่างเนื้อไก่ เนื้อปลา มากกว่าเนื้อแดง (หากคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเล หรือทานให้น้อยลง)<br /><br />เนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อแพะ เนื้อแกะ หรือเนื้อสัตว์ใหญ่อื่นๆ ยังสามารถทานได้ แต่ไม่ควรทานเกินสัปดาห์ละ 500 กรัม หรือวันละ 5-6 ช้อนโต๊ะ และอย่าลืมปรุงให้สุกก่อนทานเสมอ<br /><br />วิธีปรุงเนื้อสัตว์ ควรทานด้วยวิธีปรุงแบบต้ม นึ่ง ควรหลีกเลี่ยงการปิ้ง หรือย่าง เพราะรอยไหม้ที่เกิดจากการปิ้งย่าง สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้<br /><br />ลดการทานเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน บาโลน่า แฮม ลูกชิ้น ฯลฯ เพราะอาจมีสารก่อมะเร็งเป็นส่วนผสม<br /><br />หากมีอายุมากขึ้น สามารถลดการทานเนื้อสัตว์ลงได้ โดยเน้นผักผลไม้ให้มากขึ้น และอาจเสริมสารอาหารด้วยการทานโปรตีนจากไข่ (บริโภคได้ทั้งไข่ขาว และไข่แดง วันละ 1-2 ฟอง) หรือจากนม ถั่วต่างๆ เป็นต้น<br /><br /> <br /><br />เพียงหลักการทานเนื้อสัตว์ง่ายๆ เท่านี้ เราก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้ไม่ยาก แต่หากใครมีความกังวล อาจจะเพราะมีคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งมาก่อน สามารถเข้ารับการตรวจร่างกาย และรับคำปรึกษาจากแพทย์ได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านได้ทันที ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป (หรือจะน้อยกว่านี้ก็ได้)<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Howto\" title=\"#Howto\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Howto</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Health\" title=\"#Health\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Health</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1113402287271141376",
"published": "2020-05-30T09:43:10+00:00",
"source": {
"content": "\n\nหลายคนอาจจะเคยทราบมาบ้างแล้วว่า เนื้อสัตว์ เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง แต่ก็ไม่ใช่เนื้อสัตว์ทุกประเภท และวิธีการทานเนื้อสัตว์ที่ถูกต้อง ก็ไม่ได้เพิ่มอันตรายในการเป็นโรคมะเร็งแต่อย่างใด ดังนั้นหากเราเลือกทานเนื้อสัตว์ถูกวิธี เราก็สามารถมีชีวิตที่อยู่รอดปลอดภัยจากโรคมะเร็งได้ไม่ยาก\n\n \n\nเลือกกิน “เนื้อสัตว์” อย่างไร ห่างไกล “มะเร็ง”\n\nเลือกทานเนื้อสีอ่อน อย่างเนื้อไก่ เนื้อปลา มากกว่าเนื้อแดง (หากคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเล หรือทานให้น้อยลง)\n\nเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อแพะ เนื้อแกะ หรือเนื้อสัตว์ใหญ่อื่นๆ ยังสามารถทานได้ แต่ไม่ควรทานเกินสัปดาห์ละ 500 กรัม หรือวันละ 5-6 ช้อนโต๊ะ และอย่าลืมปรุงให้สุกก่อนทานเสมอ\n\nวิธีปรุงเนื้อสัตว์ ควรทานด้วยวิธีปรุงแบบต้ม นึ่ง ควรหลีกเลี่ยงการปิ้ง หรือย่าง เพราะรอยไหม้ที่เกิดจากการปิ้งย่าง สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้\n\nลดการทานเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน บาโลน่า แฮม ลูกชิ้น ฯลฯ เพราะอาจมีสารก่อมะเร็งเป็นส่วนผสม\n\nหากมีอายุมากขึ้น สามารถลดการทานเนื้อสัตว์ลงได้ โดยเน้นผักผลไม้ให้มากขึ้น และอาจเสริมสารอาหารด้วยการทานโปรตีนจากไข่ (บริโภคได้ทั้งไข่ขาว และไข่แดง วันละ 1-2 ฟอง) หรือจากนม ถั่วต่างๆ เป็นต้น\n\n \n\nเพียงหลักการทานเนื้อสัตว์ง่ายๆ เท่านี้ เราก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้ไม่ยาก แต่หากใครมีความกังวล อาจจะเพราะมีคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งมาก่อน สามารถเข้ารับการตรวจร่างกาย และรับคำปรึกษาจากแพทย์ได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านได้ทันที ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป (หรือจะน้อยกว่านี้ก็ได้)\n\n#Mindsth #Howto #Health",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113402287271141376/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113396014482776064",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "คำถามวันนี้ <br /><br /><br />คุณคิดว่า แพลตฟอร์ม social media ควรต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ผู้ใช้งานโพสต์หรือไม่ ( เช่นเนื้อหาความรุนแรง, fake news) <br />และ แพลตฟอร์ม social media มีสิทธิปิดกั้นเนื้อหาของผู้ใช้งานได้หรือไม่<br /><br />--------------------------------------------------------------<br />จากข่าว <a href=\"https://www.thairath.co.th/news/foreign/1856108\" target=\"_blank\">https://www.thairath.co.th/news/foreign/1856108</a> <br /><br />บีบีซี รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ค. 2563 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งพิเศษตีความใหม่ กฎหมายว่าด้วยการสื่อสารที่เหมาะสม (Communications Decency Act) ซึ่งให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และยูทูบ ในบางสถานการณ์<br /><br />โดยภายใต้มาตรการ 230 ของกฎหมายดังกล่าว เครือข่ายสังคมออนไลน์จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ผู้ใช้งานโพสต์ และสามารถปิดกั้นเนื้อหาอย่างสุจริตใจ (good-Samaritan blocking) เช่น ลบเนื้อหาที่ ลามกอนาจาร, คุกคาม หรือมีความรุนแรง ได้<br /><br />อนึ่ง ความเคลื่อนไหวของนายทรัมป์ เป็นการตอบโต้ทวิตเตอร์ ที่แปะป้ายเตือนให้ประชาชนตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือ ‘fact-check’ บนข้อความ 2 ข้อความที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์เป็นครั้งแรก ทำให้นายทรัมป์ออกมาโจมตีทวิตเตอร์อย่างรุนแรง ว่าปิดปากฝ่ายอนุรักษ์นิยม, ปิดกั้นเสรีภาพทางการพูด และกล่าวหาว่ากำลังแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2020<br /><br />ส่วนมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก แห่งเฟสบุ้ค<br /><a href=\"https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/882654\" target=\"_blank\">https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/882654</a><br />นายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เฟซบุ๊ค ให้สัมภาษณ์รายการ The Daily Briefing ทางช่อง Fox News ในสหรัฐคืนวันพุธ (27 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อถูกถามเกี่ยวกับประเด็นทวิตเตอร์ ไมโครบล็อกชื่อดัง ขึ้นแถบเตือนให้ผู้ใช้งานตรวจสอบทวีตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 2 ครั้ง<br /><br />ตอบว่า เฟซบุ๊คมีนโยบายที่แตกต่างกับทวิตเตอร์ และจะไม่เข้าไปตัดสินว่าใครโพสต์เรื่องจริงหรือไม่จริงบนโลกออนไลน์<br /><br />\"ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า เฟซบุ๊คไม่ควรเป็นผู้ชี้ขาด<br /><br />ความจริงเกี่ยวกับทุกอย่างที่คนโพสต์ในออนไลน์\" นายซักเคอร์เบิร์กแสดงความเห็น \"ผมคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว บริษัทเอกชนโดยเฉพาะบริษัทแพลตฟอร์มโซเชียลเหล่านี้ ไม่ควรอยู่ในสถานะที่ทำแบบนั้นได้\"<br /><br />ขณะเดียวกัน นายซักเคอร์เบิร์กยังแสดงความกังวลกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจออกหลักเกณฑ์คุมเข้มบริษัทโซเชียลมีเดีย หลังถูกทวิตเตอร์เซ็นเซอร์ข้อความที่ตนโพสต์<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Howto\" title=\"#Howto\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Howto</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Twitter\" title=\"#Twitter\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Twitter</a><br /><br /><br />",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1113396014482776064",
"published": "2020-05-30T09:19:26+00:00",
"source": {
"content": "คำถามวันนี้ \n\n\nคุณคิดว่า แพลตฟอร์ม social media ควรต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ผู้ใช้งานโพสต์หรือไม่ ( เช่นเนื้อหาความรุนแรง, fake news) \nและ แพลตฟอร์ม social media มีสิทธิปิดกั้นเนื้อหาของผู้ใช้งานได้หรือไม่\n\n--------------------------------------------------------------\nจากข่าว https://www.thairath.co.th/news/foreign/1856108 \n\nบีบีซี รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ค. 2563 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งพิเศษตีความใหม่ กฎหมายว่าด้วยการสื่อสารที่เหมาะสม (Communications Decency Act) ซึ่งให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และยูทูบ ในบางสถานการณ์\n\nโดยภายใต้มาตรการ 230 ของกฎหมายดังกล่าว เครือข่ายสังคมออนไลน์จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ผู้ใช้งานโพสต์ และสามารถปิดกั้นเนื้อหาอย่างสุจริตใจ (good-Samaritan blocking) เช่น ลบเนื้อหาที่ ลามกอนาจาร, คุกคาม หรือมีความรุนแรง ได้\n\nอนึ่ง ความเคลื่อนไหวของนายทรัมป์ เป็นการตอบโต้ทวิตเตอร์ ที่แปะป้ายเตือนให้ประชาชนตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือ ‘fact-check’ บนข้อความ 2 ข้อความที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์เป็นครั้งแรก ทำให้นายทรัมป์ออกมาโจมตีทวิตเตอร์อย่างรุนแรง ว่าปิดปากฝ่ายอนุรักษ์นิยม, ปิดกั้นเสรีภาพทางการพูด และกล่าวหาว่ากำลังแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2020\n\nส่วนมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก แห่งเฟสบุ้ค\nhttps://www.bangkokbiznews.com/news/detail/882654\nนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เฟซบุ๊ค ให้สัมภาษณ์รายการ The Daily Briefing ทางช่อง Fox News ในสหรัฐคืนวันพุธ (27 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อถูกถามเกี่ยวกับประเด็นทวิตเตอร์ ไมโครบล็อกชื่อดัง ขึ้นแถบเตือนให้ผู้ใช้งานตรวจสอบทวีตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 2 ครั้ง\n\nตอบว่า เฟซบุ๊คมีนโยบายที่แตกต่างกับทวิตเตอร์ และจะไม่เข้าไปตัดสินว่าใครโพสต์เรื่องจริงหรือไม่จริงบนโลกออนไลน์\n\n\"ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า เฟซบุ๊คไม่ควรเป็นผู้ชี้ขาด\n\nความจริงเกี่ยวกับทุกอย่างที่คนโพสต์ในออนไลน์\" นายซักเคอร์เบิร์กแสดงความเห็น \"ผมคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว บริษัทเอกชนโดยเฉพาะบริษัทแพลตฟอร์มโซเชียลเหล่านี้ ไม่ควรอยู่ในสถานะที่ทำแบบนั้นได้\"\n\nขณะเดียวกัน นายซักเคอร์เบิร์กยังแสดงความกังวลกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจออกหลักเกณฑ์คุมเข้มบริษัทโซเชียลมีเดีย หลังถูกทวิตเตอร์เซ็นเซอร์ข้อความที่ตนโพสต์\n\n#Mindsth #Howto #Twitter\n\n\n",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113396014482776064/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113394318119260160",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br /><br />📣 คำถาม<br />\"การรับประทานในห้องแอร์เดียวกัน แม้ห่างมากกว่า 2 เมตร มีโอกาสติดเชื้อกันผ่านทางอากาศที่วนในห้องแอร์ไหมคะ\"<br /><br />📣 คำตอบ<br /><br />โดยทั่วไปมีโอกาสได้รับเชื้อจากการสูดหายใจได้เเม้จะห่าง 2 เมตร ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับปริมาณเชื้อในอากาศ ซึ่งถ้ามีผู้ติดเชื้อนั่งเหนือลมเเอร์ ถ้ามีไอ จาม เชื้อก็อาจเเพร่กระจายได้ไกลกว่า 1-2 เมตร เเละขึ้นกับการถ่ายเทของอากาศภายในห้อง ดังนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่มีผป.ติดเชื้อมากอยู่<br /><br />ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรนั่งที่อากาศถ่ายเทสะดวก ใช้เวลาในการกินให้สั้นที่สุด เเละควรใส่หน้ากากก่อนเเละหลังกินอาหารครับ<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Education\" title=\"#Education\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Education</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Covid19\" title=\"#Covid19\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Covid19</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1113394318119260160",
"published": "2020-05-30T09:11:30+00:00",
"source": {
"content": "\n\n📣 คำถาม\n\"การรับประทานในห้องแอร์เดียวกัน แม้ห่างมากกว่า 2 เมตร มีโอกาสติดเชื้อกันผ่านทางอากาศที่วนในห้องแอร์ไหมคะ\"\n\n📣 คำตอบ\n\nโดยทั่วไปมีโอกาสได้รับเชื้อจากการสูดหายใจได้เเม้จะห่าง 2 เมตร ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับปริมาณเชื้อในอากาศ ซึ่งถ้ามีผู้ติดเชื้อนั่งเหนือลมเเอร์ ถ้ามีไอ จาม เชื้อก็อาจเเพร่กระจายได้ไกลกว่า 1-2 เมตร เเละขึ้นกับการถ่ายเทของอากาศภายในห้อง ดังนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่มีผป.ติดเชื้อมากอยู่\n\nถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรนั่งที่อากาศถ่ายเทสะดวก ใช้เวลาในการกินให้สั้นที่สุด เเละควรใส่หน้ากากก่อนเเละหลังกินอาหารครับ\n\n#Mindsth #Education #Covid19",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113394318119260160/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113092114135957504",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br />ปกติในอากาศที่อยู่รอบตัวเราจะประกอบด้วย (ไนโตรเจน 78%) , (ออกซิเจน 21%) ส่วนที่เหลืออีก 1% ก็เป็นแก๊สอื่น ๆ รวมกัน โดยหนึ่งในนั้นก็จะมี CO2 หรือคาร์บอนไดออกไซด์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งใครจะคิดล่ะครับว่า อากาศเสียอย่าง CO2 จะสามารถกลายมาเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และไม่ทำร้ายโลก ให้มนุษย์เราบริโภคได้<br /><br />.<br /><br />แต่ก็ไม่มีอะไรเกินขอบเขตความสามารถของมนุษย์ เพราะเมื่อปี 2018 บริษัทสัญชาติฟินแลนด์ Solar Foods ได้ออกมาประกาศว่า \"พวกเขาสามารถเปลี่ยนอากาศเป็นอาหารพร้อมทานได้แล้วนะ\" ด้วยการโชว์ผงโปรตีนที่มีชื่อว่า Solein (โซลีน) และโชว์แฮมเบอร์เกอร์พร้อมทานที่ทำจากผงชนิดนั้นด้วย<br /><br />.<br /><br />แต่ที่เจ๋งยิ่งกว่านั้นคือ เจ้าผงโปรตีน Solein (Solar + Protein) ชนิดนี้ ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วน นั่นคือ โปรตีน 65% คาร์โบไฮเดรต 25% และ ไขมัน 10%<br /><br />.<br /><br />ซึ่งหมายความว่า แค่คุณกินเจ้าผงชนิดนี้ หรือนำมันไปแปรรูปเป็นอาหารชนิดใด คุณก็จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน ไม่ต้องกินอาหารเสริมให้เสียเงินเพิ่มเลยล่ะครับ เจ๋งฝุด ๆ<br /><br />.<br /><br />ส่วนวิธีการเปลี่ยนอากาศเป็นอาหาร ก็สามารถอธิบายโดยย่อได้ ดังนี้ ทางบริษัทได้คิดค้น เทคโนโลยีดักจับ CO2 ที่มีชื่อว่า Carbon Capture Technology<br /><br />.<br /><br />และเมื่อได้จำนวน CO2 ตามที่ต้องการแล้ว มันก็จะถูกโยนลงไปในถังหมัก + เติมจุลินทรีย์ลงในถังหมัก + เติมน้ำ + เติมวิตามิน จากนั้นก็รอให้จุลินทรีย์ทำปฏิกิริยา จนแปรสภาพกลายเป็น \"โปรตีนเซลล์เดียว\" ที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารหลากชนิดได้ครับ<br /><br />.<br /><br />(คล้ายกับการหมักเบียร์นั่นแหละ แต่ต้องอาศัยสารตั้งต้นด้วยการสกัดเอา CO2 ในอากาศมาขึ้นรูปก่อนนั่นเอง)<br /><br />.<br /><br />ซึ่งทุกกระบวนการนั้น ทางบริษัทได้เลือกใช้พลังงานทดแทนทั้งหมด<br /><br />- อากาศ (ฟรี)<br /><br />- น้ำ 10 ลิตร ผลิตโซลีนได้ 1 กิโลกรัม ซึ่งต่างจากการผลิตทั่วไป ที่ต้องใช้น้ำมากถึง 2,500 ลิตร ถึงจะได้ ผงโปรตีนถั่ว หรือผงโปรตีนนมที่เราบริโภคอยู่ในปัจจุบัน 1 กิโลกรัม (ส่วนวัวต้องใช้น้ำ 15,000 ลิตร ถึงจะได้เนื้อ 1 กิโลกรัม)<br /><br />- ส่วนพลังงานไฟฟ้า บริษัทก็เลือกใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ในทุกกระบวนการผลิตทั้งหมด จึงทำให้การผลิตเจ้าโซลีนจะไม่มีการปล่อย CO2 เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศเลยแม้แต่น้อยด้วย<br /><br />.<br /><br />อีกทั้งภายในปี 2021 ทางบริษัทจะทำการจัดจำหน่ายผงโปรตีนสุดเจ๋งชนิดนี้ไปทั่วโลก เพราะตอนนี้ก็เริ่มจำหน่ายให้ร้านไอศกรีมและร้านอาหารมังสวิรัตทั่วฟินแลนด์ได้นำไปแปรรูปกันแล้ว ซึ่งแน่นอนครับว่า มันอาจจะได้กลายเป็นอาหารหลักของนักบินอวกาศด้วยนะ เพราะไอเดียตั้งต้นมาจาก NASA แต่ตอนนี้ทางบริษัทเลือกจับมือกับ ESA ในการผลิตเพื่อใช้ในงานอวกาศอย่างจริงจังแทนครับผม<br /><br />.<br /><br />อ้างอิง (Reference)<br /><br />- <a href=\"https://theindexproject.org/\" target=\"_blank\">https://theindexproject.org/</a>…/winners…/solar-foods-community<br /><br />- <a href=\"https://helsinkismart.fi/\" target=\"_blank\">https://helsinkismart.fi/</a>…/solar-foods-makes-food-out-of-t…/<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Education\" title=\"#Education\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Education</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Technology\" title=\"#Technology\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Technology</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Science\" title=\"#Science\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Science</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1113092114135957504",
"published": "2020-05-29T13:14:44+00:00",
"source": {
"content": "\nปกติในอากาศที่อยู่รอบตัวเราจะประกอบด้วย (ไนโตรเจน 78%) , (ออกซิเจน 21%) ส่วนที่เหลืออีก 1% ก็เป็นแก๊สอื่น ๆ รวมกัน โดยหนึ่งในนั้นก็จะมี CO2 หรือคาร์บอนไดออกไซด์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งใครจะคิดล่ะครับว่า อากาศเสียอย่าง CO2 จะสามารถกลายมาเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และไม่ทำร้ายโลก ให้มนุษย์เราบริโภคได้\n\n.\n\nแต่ก็ไม่มีอะไรเกินขอบเขตความสามารถของมนุษย์ เพราะเมื่อปี 2018 บริษัทสัญชาติฟินแลนด์ Solar Foods ได้ออกมาประกาศว่า \"พวกเขาสามารถเปลี่ยนอากาศเป็นอาหารพร้อมทานได้แล้วนะ\" ด้วยการโชว์ผงโปรตีนที่มีชื่อว่า Solein (โซลีน) และโชว์แฮมเบอร์เกอร์พร้อมทานที่ทำจากผงชนิดนั้นด้วย\n\n.\n\nแต่ที่เจ๋งยิ่งกว่านั้นคือ เจ้าผงโปรตีน Solein (Solar + Protein) ชนิดนี้ ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วน นั่นคือ โปรตีน 65% คาร์โบไฮเดรต 25% และ ไขมัน 10%\n\n.\n\nซึ่งหมายความว่า แค่คุณกินเจ้าผงชนิดนี้ หรือนำมันไปแปรรูปเป็นอาหารชนิดใด คุณก็จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน ไม่ต้องกินอาหารเสริมให้เสียเงินเพิ่มเลยล่ะครับ เจ๋งฝุด ๆ\n\n.\n\nส่วนวิธีการเปลี่ยนอากาศเป็นอาหาร ก็สามารถอธิบายโดยย่อได้ ดังนี้ ทางบริษัทได้คิดค้น เทคโนโลยีดักจับ CO2 ที่มีชื่อว่า Carbon Capture Technology\n\n.\n\nและเมื่อได้จำนวน CO2 ตามที่ต้องการแล้ว มันก็จะถูกโยนลงไปในถังหมัก + เติมจุลินทรีย์ลงในถังหมัก + เติมน้ำ + เติมวิตามิน จากนั้นก็รอให้จุลินทรีย์ทำปฏิกิริยา จนแปรสภาพกลายเป็น \"โปรตีนเซลล์เดียว\" ที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารหลากชนิดได้ครับ\n\n.\n\n(คล้ายกับการหมักเบียร์นั่นแหละ แต่ต้องอาศัยสารตั้งต้นด้วยการสกัดเอา CO2 ในอากาศมาขึ้นรูปก่อนนั่นเอง)\n\n.\n\nซึ่งทุกกระบวนการนั้น ทางบริษัทได้เลือกใช้พลังงานทดแทนทั้งหมด\n\n- อากาศ (ฟรี)\n\n- น้ำ 10 ลิตร ผลิตโซลีนได้ 1 กิโลกรัม ซึ่งต่างจากการผลิตทั่วไป ที่ต้องใช้น้ำมากถึง 2,500 ลิตร ถึงจะได้ ผงโปรตีนถั่ว หรือผงโปรตีนนมที่เราบริโภคอยู่ในปัจจุบัน 1 กิโลกรัม (ส่วนวัวต้องใช้น้ำ 15,000 ลิตร ถึงจะได้เนื้อ 1 กิโลกรัม)\n\n- ส่วนพลังงานไฟฟ้า บริษัทก็เลือกใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ในทุกกระบวนการผลิตทั้งหมด จึงทำให้การผลิตเจ้าโซลีนจะไม่มีการปล่อย CO2 เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศเลยแม้แต่น้อยด้วย\n\n.\n\nอีกทั้งภายในปี 2021 ทางบริษัทจะทำการจัดจำหน่ายผงโปรตีนสุดเจ๋งชนิดนี้ไปทั่วโลก เพราะตอนนี้ก็เริ่มจำหน่ายให้ร้านไอศกรีมและร้านอาหารมังสวิรัตทั่วฟินแลนด์ได้นำไปแปรรูปกันแล้ว ซึ่งแน่นอนครับว่า มันอาจจะได้กลายเป็นอาหารหลักของนักบินอวกาศด้วยนะ เพราะไอเดียตั้งต้นมาจาก NASA แต่ตอนนี้ทางบริษัทเลือกจับมือกับ ESA ในการผลิตเพื่อใช้ในงานอวกาศอย่างจริงจังแทนครับผม\n\n.\n\nอ้างอิง (Reference)\n\n- https://theindexproject.org/…/winners…/solar-foods-community\n\n- https://helsinkismart.fi/…/solar-foods-makes-food-out-of-t…/\n\n#Mindsth #Education #Technology #Science",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113092114135957504/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113020711939878912",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br />- ลุกขึ้นขยับร่างกาย ทุก 30 นาที<br /><br />- เปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ อย่านั่งท่าเดีมๆช้ำๆเป็นเวลานานๆ<br /><br />- สลับใช้โต๊ะทำงานแบบยืนบ้าง<br /><br />- ปรับท่านั่งและท่ายืนให้เหมาะสม ไม่นั่งหลังค่อม หรือแอ่นเกินไป<br /><br />- ใช้หมอนหนุนหลังขณะนั่ง <br /><br /><br /><br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Howto\" title=\"#Howto\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Howto</a><br /><br />",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1113020711939878912",
"published": "2020-05-29T08:26:55+00:00",
"source": {
"content": "\n- ลุกขึ้นขยับร่างกาย ทุก 30 นาที\n\n- เปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ อย่านั่งท่าเดีมๆช้ำๆเป็นเวลานานๆ\n\n- สลับใช้โต๊ะทำงานแบบยืนบ้าง\n\n- ปรับท่านั่งและท่ายืนให้เหมาะสม ไม่นั่งหลังค่อม หรือแอ่นเกินไป\n\n- ใช้หมอนหนุนหลังขณะนั่ง \n\n\n\n\n#Mindsth #Howto\n\n",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1113020711939878912/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1112908102145748992",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br />1.พาสุนัขไปเดินเล่น<br /><br />กิจกรรมนี้ช่วยได้ทั้งตัวคุณและน้องหมา อย่างน้อยสุขภาพของคนและสุนัขก็จะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ต่อมาก็คือเรื่องของสุขภาพจิตซึ่งจะดีขึ้นทั้งเจ้านายและลูกน้อง หลายคนใช้ช่วงเวลานี้ได้การรีเซ็ตสมองของตัวเอง<br /><br />2.เริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟแก้วโปรด<br /><br />กิจกรรมนี้คงไม่ต้องอธิบายใดๆ เพิ่มเติม เพราะการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟถ้วยโปรด จะทำให้คุณมีพลังงานที่ดีไปทั้งวัน การค่อยๆ นั่งดมกลิ่นกาแฟหอมๆ แล้วค่อยๆ จิบแบบไม่เร่งรีบ มันจะช่วยให้คุณผ่อนคลายพร้อมจะรับมือเรื่องงานได้ทั้งวัน<br /><br />3.วิตามินดูดซึมดีในตอนเช้า<br /><br />ใครที่อยู่ในวัยที่จะต้องเติมบรรดาวิตามินเสริ่มต่างๆ นั้น จากการศึกษาพบว่าร่างกายสามารถทำการดูดซึมวิตามินต่างๆ ได้ดีที่สุดในตอนเช้าและในตอนที่ท้องว่าง ดังนั้นการตื่นเช้าช่วยเรื่องนี้ได้ เพราะมันคือเวลาที่ดีที่สุดในการเติมวิตามิน<br /><br />4.นั่งสมาธิ<br /><br />การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการทำสมาธิช่วยควบคุมความเครียดและปรับปรุงการนอนหลับ นอกจากนั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกตื่นตัวในตอนเช้าอีกด้วย การทำสมาธิจะทำให้จิตใจและร่างกายรู้สึกสงบและทำงานได้ดี การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความพร้อมรับมือเรื่องหนักๆ ได้ทั้งวัน<br /><br />5.แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่คุณเตรียมเอาไว้แล้ว<br /><br />การค่อยๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่คุณได้เลือกไว้ตั้งแต่ก่อนนอน จะช่วยทำให้เช้าวันใหม่ของคุณเต็มไปด้วยความมั่นใจ มันจะช่วยลดความเครียดจากการที่ต้องตื่นมาเลือกเสื้อผ้าในตอนเช้า รีบๆ เร่งๆ นอกจากจะแต่งตัวไม่ได้อย่างที่ต้องการแล้ว ยังทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงโดยไม่จำเป็น<br /><br />6.เขียนเป้าหมายของวันนี้<br /><br />ใช้เวลาในตอนเช้าไม่เกิน 5 นาที ในการเขียนสิ่งสำคัญ 3 อย่างที่คุณจะทำให้เสร็จในวันนี้ นี่คือการรวบรวมลำดับความคิดในแต่ละวันได้ดีที่สุด งานนี้อาจจะต้องพึ่งพาสมุดกับปากกาดีๆ สักชุด เพราะมันเป็นของที่คุณจะต้องใช้งานมันในทุกเช้า จะมีอะไรดีไปกว่าการที่รู้ว่าวันนี้เราจะทำอะไร<br /><br />7.ฟังเพลงที่คุณอยากฟัง<br /><br />ตื่นมาพร้อมกับการเลือกฟังเพลงโปรดของคุณ งานนี้ลำโพงบลูทูธเสียงดีๆ สักตัวช่วยคุณได้ เพราะบางครั้งหลังจากที่ตื่นนอนคุณอาจจะอยากลุกออกไปนั่งฟังเพลงในที่ต่างๆ ของตัวบ้านก็ได้ การได้ฟังเพลงดีๆ ในตอนเช้าจะช่วยให้สมองของคุณตื่นตัว และพร้อมสำหรับการคิดงานได้ทั้งวัน<br /><br />8.พาตัวเองออกไปวิ่ง<br /><br />ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำ ต่างก็มีกิจกรรมในยามเช้าเหมือนกัน นั่นคือการพาตัวเองไปเข้าโรงยิมก่อนที่จะไปทำงาน หลายคนเลือกที่จะออกไปวิ่งถนนรอบๆ บ้าน การออกกำลังกายตอนเช้าช่วยให้ร่างการและสมองตื่นตัว ทำให้พร้อมที่จะลุยงานหนักได้ทั้งวันโดยไม่ต้องห่วงเรื่องการออกกำลังกายในตอนเย็นอีกต่อไป <br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Howto\" title=\"#Howto\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Howto</a> ",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1112908102145748992",
"published": "2020-05-29T00:59:27+00:00",
"source": {
"content": "\n1.พาสุนัขไปเดินเล่น\n\nกิจกรรมนี้ช่วยได้ทั้งตัวคุณและน้องหมา อย่างน้อยสุขภาพของคนและสุนัขก็จะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ต่อมาก็คือเรื่องของสุขภาพจิตซึ่งจะดีขึ้นทั้งเจ้านายและลูกน้อง หลายคนใช้ช่วงเวลานี้ได้การรีเซ็ตสมองของตัวเอง\n\n2.เริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟแก้วโปรด\n\nกิจกรรมนี้คงไม่ต้องอธิบายใดๆ เพิ่มเติม เพราะการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟถ้วยโปรด จะทำให้คุณมีพลังงานที่ดีไปทั้งวัน การค่อยๆ นั่งดมกลิ่นกาแฟหอมๆ แล้วค่อยๆ จิบแบบไม่เร่งรีบ มันจะช่วยให้คุณผ่อนคลายพร้อมจะรับมือเรื่องงานได้ทั้งวัน\n\n3.วิตามินดูดซึมดีในตอนเช้า\n\nใครที่อยู่ในวัยที่จะต้องเติมบรรดาวิตามินเสริ่มต่างๆ นั้น จากการศึกษาพบว่าร่างกายสามารถทำการดูดซึมวิตามินต่างๆ ได้ดีที่สุดในตอนเช้าและในตอนที่ท้องว่าง ดังนั้นการตื่นเช้าช่วยเรื่องนี้ได้ เพราะมันคือเวลาที่ดีที่สุดในการเติมวิตามิน\n\n4.นั่งสมาธิ\n\nการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการทำสมาธิช่วยควบคุมความเครียดและปรับปรุงการนอนหลับ นอกจากนั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกตื่นตัวในตอนเช้าอีกด้วย การทำสมาธิจะทำให้จิตใจและร่างกายรู้สึกสงบและทำงานได้ดี การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความพร้อมรับมือเรื่องหนักๆ ได้ทั้งวัน\n\n5.แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่คุณเตรียมเอาไว้แล้ว\n\nการค่อยๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่คุณได้เลือกไว้ตั้งแต่ก่อนนอน จะช่วยทำให้เช้าวันใหม่ของคุณเต็มไปด้วยความมั่นใจ มันจะช่วยลดความเครียดจากการที่ต้องตื่นมาเลือกเสื้อผ้าในตอนเช้า รีบๆ เร่งๆ นอกจากจะแต่งตัวไม่ได้อย่างที่ต้องการแล้ว ยังทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงโดยไม่จำเป็น\n\n6.เขียนเป้าหมายของวันนี้\n\nใช้เวลาในตอนเช้าไม่เกิน 5 นาที ในการเขียนสิ่งสำคัญ 3 อย่างที่คุณจะทำให้เสร็จในวันนี้ นี่คือการรวบรวมลำดับความคิดในแต่ละวันได้ดีที่สุด งานนี้อาจจะต้องพึ่งพาสมุดกับปากกาดีๆ สักชุด เพราะมันเป็นของที่คุณจะต้องใช้งานมันในทุกเช้า จะมีอะไรดีไปกว่าการที่รู้ว่าวันนี้เราจะทำอะไร\n\n7.ฟังเพลงที่คุณอยากฟัง\n\nตื่นมาพร้อมกับการเลือกฟังเพลงโปรดของคุณ งานนี้ลำโพงบลูทูธเสียงดีๆ สักตัวช่วยคุณได้ เพราะบางครั้งหลังจากที่ตื่นนอนคุณอาจจะอยากลุกออกไปนั่งฟังเพลงในที่ต่างๆ ของตัวบ้านก็ได้ การได้ฟังเพลงดีๆ ในตอนเช้าจะช่วยให้สมองของคุณตื่นตัว และพร้อมสำหรับการคิดงานได้ทั้งวัน\n\n8.พาตัวเองออกไปวิ่ง\n\nผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำ ต่างก็มีกิจกรรมในยามเช้าเหมือนกัน นั่นคือการพาตัวเองไปเข้าโรงยิมก่อนที่จะไปทำงาน หลายคนเลือกที่จะออกไปวิ่งถนนรอบๆ บ้าน การออกกำลังกายตอนเช้าช่วยให้ร่างการและสมองตื่นตัว ทำให้พร้อมที่จะลุยงานหนักได้ทั้งวันโดยไม่ต้องห่วงเรื่องการออกกำลังกายในตอนเย็นอีกต่อไป \n\n#Mindsth #Howto ",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1112908102145748992/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1112673018837643264",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br /> เราสามารถปรับคุณภาพอากาศภายในอาคารให้ดีขึ้นได้เพื่อสุขภาพของผู้พักอาศัย ด้วยการปลูกต้นไม้ 3 ประเภท คือ ปาล์มหมาก, ลิ้นมังกร และพลูด่าง<br /><br />1. ปาล์มหมาก<br /><br />ปาล์มหมาก (Areca Palm) เป็นพืชที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์แล้วแปลงเป็นออกซิเจน เหมาะสำหรับปลูกในห้องนั่งเล่น ห้องโถง หรือห้องที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง<br /><br />เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ ควรปลูกปาล์มหมากที่มีความสูงประมาณเท่าหัวไหล่ผู้ใหญ่ จำนวน 4 ต้น/คน หมั่นเช็ดใบให้สะอาด และนำออกรับแดดกลางแจ้งทุกๆ 3-4 เดือน<br /><br />2. ลิ้นมังกร<br /><br />ลิ้นมังกร (Snake Plant, Mother-in-law’s tongue) มีประสิทธิภาพในการปรับคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นออกซิเจนโดยเฉพาะช่วงกลางคืน จึงมักนิยมปลูกในห้องนอน เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์ยามพักผ่อน<br /><br />เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ ควรปลูกลิ้นมังกร ที่มีความสูงประมาณเท่าเอวผู้ใหญ่ จำนวน 6-8 ต้น/คน<br /><br />3. พลูด่าง<br /><br />พลูด่าง (Devil’s Ivy, Money plant) มีคุณสมบัติขจัด Formaldehyde (ฟอร์มาลีน – น้ำยาอาบศพ) และสารเคมีอื่นๆ ที่ระเหยง่าย (Volatile chemicals) ไม่ว่าจะเป็น สีทาบ้าน ควันบุหรี่ น้ำยาฟอกสี น้ำยาซักแห้ง ฯลฯ<br /><br />ทั้งนี้ คุณ Kamal Meattle ได้ทำการทดลองปลูกต้นไม้สามประเภทนี้ รวมทั้งหมดเป็นจำนวน 1,200 ต้น ในอาคารเก่าอายุ 20 ปี เนื้อที่ 50,000 ตารางฟุต มีผู้พักอาศัย 300 คน โดยหวังที่จะปรับคุณภาพของอากาศในตัวอาคารให้ดีขึ้น<br /><br />ซึ่งก็ได้ผลปรากฏว่า ภายในเวลา 10 ชั่วโมง ปริมาณออกซิเจนในระบบเลือด ของผู้อาศัยสูงขึ้นถึง 42% และหลังจากทำการทดลองต่อเนื่อง ปรากฏว่า โรคระคายเคืองตาของคนในอาคารนี้ ลดลง 52% โรคระบบทางเดินหายใจ ลดลง 34% โรคปวดศีรษะ ลดลง 24% โรคปอด ลดลง 12% โรคหืดหอบ ลดลง 9%<br /><br />ช่วงนี้ประเทศไทยเราก็ประสบกับปัญหาฝุ่นพิษในอากาศกันหลายพื้นที่ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ในบ้าน ก็ขอเชิญชวนเพื่อนๆ ชาวเว็บ มาปลูกต้นไม้สามชนิดนี้ไว้ในบ้านกันเยอะๆ นะครับ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของสมาชิกทุกคนในครอบครัว และที่สำคัญก็คือ อย่าลืมหมั่นดูแลรดน้ำด้วยนะจ๊ะ<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Howto\" title=\"#Howto\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Howto</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1112673018837643264",
"published": "2020-05-28T09:25:18+00:00",
"source": {
"content": "\n เราสามารถปรับคุณภาพอากาศภายในอาคารให้ดีขึ้นได้เพื่อสุขภาพของผู้พักอาศัย ด้วยการปลูกต้นไม้ 3 ประเภท คือ ปาล์มหมาก, ลิ้นมังกร และพลูด่าง\n\n1. ปาล์มหมาก\n\nปาล์มหมาก (Areca Palm) เป็นพืชที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์แล้วแปลงเป็นออกซิเจน เหมาะสำหรับปลูกในห้องนั่งเล่น ห้องโถง หรือห้องที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง\n\nเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ ควรปลูกปาล์มหมากที่มีความสูงประมาณเท่าหัวไหล่ผู้ใหญ่ จำนวน 4 ต้น/คน หมั่นเช็ดใบให้สะอาด และนำออกรับแดดกลางแจ้งทุกๆ 3-4 เดือน\n\n2. ลิ้นมังกร\n\nลิ้นมังกร (Snake Plant, Mother-in-law’s tongue) มีประสิทธิภาพในการปรับคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นออกซิเจนโดยเฉพาะช่วงกลางคืน จึงมักนิยมปลูกในห้องนอน เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์ยามพักผ่อน\n\nเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ ควรปลูกลิ้นมังกร ที่มีความสูงประมาณเท่าเอวผู้ใหญ่ จำนวน 6-8 ต้น/คน\n\n3. พลูด่าง\n\nพลูด่าง (Devil’s Ivy, Money plant) มีคุณสมบัติขจัด Formaldehyde (ฟอร์มาลีน – น้ำยาอาบศพ) และสารเคมีอื่นๆ ที่ระเหยง่าย (Volatile chemicals) ไม่ว่าจะเป็น สีทาบ้าน ควันบุหรี่ น้ำยาฟอกสี น้ำยาซักแห้ง ฯลฯ\n\nทั้งนี้ คุณ Kamal Meattle ได้ทำการทดลองปลูกต้นไม้สามประเภทนี้ รวมทั้งหมดเป็นจำนวน 1,200 ต้น ในอาคารเก่าอายุ 20 ปี เนื้อที่ 50,000 ตารางฟุต มีผู้พักอาศัย 300 คน โดยหวังที่จะปรับคุณภาพของอากาศในตัวอาคารให้ดีขึ้น\n\nซึ่งก็ได้ผลปรากฏว่า ภายในเวลา 10 ชั่วโมง ปริมาณออกซิเจนในระบบเลือด ของผู้อาศัยสูงขึ้นถึง 42% และหลังจากทำการทดลองต่อเนื่อง ปรากฏว่า โรคระคายเคืองตาของคนในอาคารนี้ ลดลง 52% โรคระบบทางเดินหายใจ ลดลง 34% โรคปวดศีรษะ ลดลง 24% โรคปอด ลดลง 12% โรคหืดหอบ ลดลง 9%\n\nช่วงนี้ประเทศไทยเราก็ประสบกับปัญหาฝุ่นพิษในอากาศกันหลายพื้นที่ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ในบ้าน ก็ขอเชิญชวนเพื่อนๆ ชาวเว็บ มาปลูกต้นไม้สามชนิดนี้ไว้ในบ้านกันเยอะๆ นะครับ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของสมาชิกทุกคนในครอบครัว และที่สำคัญก็คือ อย่าลืมหมั่นดูแลรดน้ำด้วยนะจ๊ะ\n\n#Mindsth #Howto",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1112673018837643264/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1112425416416018432",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br />เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับภาพคนตาบอดใส่แว่นกันแดดสีดำขายลอตเตอรี่ บางคนก็มีลำโพงเล็ก ๆ คล้องคอมือข้างนึงถือไมโครโฟนอีกข้างถือแก้วเดินร้องเพลงตามร้านขายอาหาร ส่วนคนหูหนวกก็จะยืนขายคุกกี้กลางแดดจ้าตามแนวสถานีรถไฟฟ้า หรือไม่ก็เดินถือกระดาษเคลือบพลาสติกใสระบุข้อความขอรับบริจาคพร้อมแสดงบัตรประจำตัวคนพิการ และช่วง 2-3 ปีให้หลังก็เริ่มจะเห็นร้านกาแฟที่มีคนออทิสติกเป็นบาริสต้า<br /><br />แท้จริงแล้วทักษะอะไรกันแน่ที่เป็นความสามารถพิเศษของคนพิการ ?<br /><br />Vulcan ได้ศึกษางานวิจัยเพื่อค้นหาจุดเด่นและความสามารถพิเศษของคนพิการ 3 กลุ่มดังนี้<br /><br />1. คนตาบอด (Blind)<br /><br />สามารถระบุแหล่งที่มาของเสียงและประมวลเสียงได้เร็วกว่าคนไม่พิการประมาณ 2 เท่า<br /><br />ในผู้พิการทางสายตาเมื่อเปลือกสมองส่วนการมองเห็น (Visual Cortex) ไม่ได้ร้บข้อมูลเป็นเวลานาน สมองมีความยืดหยุ่นท่ีจะจัดระเบียบการทำงานส่วนนั้นใหม่ให้พื้นท่ีดังกล่าวสามารถนําไปใช้รับประสาทสัมผัสอื่น ๆ ได้ นั่นหมายความว่า แม้พวกเขาจะตาบอดแต่สิ่งท่ีได้กลับมาคือพื้นท่ีในสมองท่ีเพิ่มมากข้ึนสำหรับการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทางเสียง กลิ่น รส และการสัมผัส<br /><br />ทั้งนี้ประสิทธิภาพของการจัดระเบียบใหม่นี้ยังขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่บุคคลนั้นสูญเสียประสาทสัมผัสการมองเห็นอีกด้วย โดยวัยเด็กจะเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนาอย่างเต็มที่ ทำให้คนที่ตาบอดตั้งแต่อายุยังน้อยมีแนวโน้มที่จะมีความสามารถในการรับรู้ประสาทสัมผัสอื่น ๆ ได้ดีกว่าคนที่ตาบอดเมื่ออายุเยอะแล้ว<br /><br />2. คนหูหนวก (Deaf)<br /><br />สามารถประมวลการมองเห็นรอบนอก (Peripheral Vision) และการเคลื่อนไหว (Motion) ได้ดีกว่าคนไม่พิการ<br /><br />จากการทดลองพบกว่าจอ Retina ของคนไม่พิการโฟกัสที่ด้านหน้าเป็นหลัก แต่จอ Retina ของคนหูหนวกจะกระจายตัวอยู่รอบ ๆ หมายความว่าการมองของคนหูหนวกจะไม่ได้มองเห็นแค่จุดโฟกัสตรงกลางแต่สามารถโฟกัสภาพรอบข้างได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถแล่นมาจากด้านหลังคนหูหนวกสามารถจับการเคลื่อนไหวของภาพในระยะหางตาได้ไกลและแม่นยำกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้คนหูหนวกยังมีการใช้ประสาทสัมผัสมาช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น ทดแทนคนไม่พิการที่ใช้เสียงในการช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นอีกด้วย<br /><br />3.คนออทิสติก (Autistic)<br /><br />สามารถจดจำแพทเทิร์นซ้ำ ๆ รายละเอียดเล็ก ๆ ความจำระยะสั้น-ระยะยาว ได้ดีกว่าคนไม่พิการ ทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์ นอกกรอบอีกด้วย<br /><br />ออทิสติกเป็นความผิดปกติของพัฒนาการซึ่งจะมีอาการแตกต่างกันหลากหลายรูปแบบ แต่จะมีลักษณะร่วมคล้ายกัน เช่น สนใจบางอย่างแบบหมกมุ่น ทำอะไรซ้ำ ๆ เป็นแบบแผน ไม่ยืดหยุ่น อยู่ในโลกของตัวเองมาก สนใจสิ่งแวดล้อมน้อย ขาดทักษะทางสังคมและการสื่อสาร โดยอาการจะเริ่มแสดงในช่วงอายุ 18-36 เดือน เมื่อถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกแล้วหลาย ๆ ครั้งความเป็นอัจฉริยะจะถูกมองข้ามไป โดยผู้ปกครองจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขความผิดปกติ จนลืมส่งเสริมความเป็นอัจฉริยะ<br /><br />หากได้รับการดูแลช่วยเหลือที่ถูกต้อง ส่งเสริมความสามารถที่มีอยู่ควบคู่ไปกับการแก้ไขความบกพร่องจะสามารถดึงความเป็นอัจฉริยะเฉพาะด้าน หรือหลาย ๆ ด้านที่มีอยู่ในตัวคนออทิสติกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่ม “ออทิสติก ซาวองก์” (Autistic Savant)* ซึ่งจากสถิติพบว่ามีประมาณร้อยละ 10 ของผู้ที่เป็นออทิสติกทั้งหมด<br /><br />*หากสนใจเกี่ยวกับออทิสติก ซาวองก์ ขอแนะนำภาพยนตร์เรื่อง Rain Man (1988) ที่ตัวละครเอกสร้างจากบุคลิคจริง แต่เป็นการรวบรวมความสามารถพิเศษของหลาย ๆ คนไว้ในตัวละครเดียว<br /><br /><br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Howto\" title=\"#Howto\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Howto</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1112425416416018432",
"published": "2020-05-27T17:01:26+00:00",
"source": {
"content": "\nเชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับภาพคนตาบอดใส่แว่นกันแดดสีดำขายลอตเตอรี่ บางคนก็มีลำโพงเล็ก ๆ คล้องคอมือข้างนึงถือไมโครโฟนอีกข้างถือแก้วเดินร้องเพลงตามร้านขายอาหาร ส่วนคนหูหนวกก็จะยืนขายคุกกี้กลางแดดจ้าตามแนวสถานีรถไฟฟ้า หรือไม่ก็เดินถือกระดาษเคลือบพลาสติกใสระบุข้อความขอรับบริจาคพร้อมแสดงบัตรประจำตัวคนพิการ และช่วง 2-3 ปีให้หลังก็เริ่มจะเห็นร้านกาแฟที่มีคนออทิสติกเป็นบาริสต้า\n\nแท้จริงแล้วทักษะอะไรกันแน่ที่เป็นความสามารถพิเศษของคนพิการ ?\n\nVulcan ได้ศึกษางานวิจัยเพื่อค้นหาจุดเด่นและความสามารถพิเศษของคนพิการ 3 กลุ่มดังนี้\n\n1. คนตาบอด (Blind)\n\nสามารถระบุแหล่งที่มาของเสียงและประมวลเสียงได้เร็วกว่าคนไม่พิการประมาณ 2 เท่า\n\nในผู้พิการทางสายตาเมื่อเปลือกสมองส่วนการมองเห็น (Visual Cortex) ไม่ได้ร้บข้อมูลเป็นเวลานาน สมองมีความยืดหยุ่นท่ีจะจัดระเบียบการทำงานส่วนนั้นใหม่ให้พื้นท่ีดังกล่าวสามารถนําไปใช้รับประสาทสัมผัสอื่น ๆ ได้ นั่นหมายความว่า แม้พวกเขาจะตาบอดแต่สิ่งท่ีได้กลับมาคือพื้นท่ีในสมองท่ีเพิ่มมากข้ึนสำหรับการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทางเสียง กลิ่น รส และการสัมผัส\n\nทั้งนี้ประสิทธิภาพของการจัดระเบียบใหม่นี้ยังขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่บุคคลนั้นสูญเสียประสาทสัมผัสการมองเห็นอีกด้วย โดยวัยเด็กจะเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนาอย่างเต็มที่ ทำให้คนที่ตาบอดตั้งแต่อายุยังน้อยมีแนวโน้มที่จะมีความสามารถในการรับรู้ประสาทสัมผัสอื่น ๆ ได้ดีกว่าคนที่ตาบอดเมื่ออายุเยอะแล้ว\n\n2. คนหูหนวก (Deaf)\n\nสามารถประมวลการมองเห็นรอบนอก (Peripheral Vision) และการเคลื่อนไหว (Motion) ได้ดีกว่าคนไม่พิการ\n\nจากการทดลองพบกว่าจอ Retina ของคนไม่พิการโฟกัสที่ด้านหน้าเป็นหลัก แต่จอ Retina ของคนหูหนวกจะกระจายตัวอยู่รอบ ๆ หมายความว่าการมองของคนหูหนวกจะไม่ได้มองเห็นแค่จุดโฟกัสตรงกลางแต่สามารถโฟกัสภาพรอบข้างได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถแล่นมาจากด้านหลังคนหูหนวกสามารถจับการเคลื่อนไหวของภาพในระยะหางตาได้ไกลและแม่นยำกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้คนหูหนวกยังมีการใช้ประสาทสัมผัสมาช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น ทดแทนคนไม่พิการที่ใช้เสียงในการช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นอีกด้วย\n\n3.คนออทิสติก (Autistic)\n\nสามารถจดจำแพทเทิร์นซ้ำ ๆ รายละเอียดเล็ก ๆ ความจำระยะสั้น-ระยะยาว ได้ดีกว่าคนไม่พิการ ทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์ นอกกรอบอีกด้วย\n\nออทิสติกเป็นความผิดปกติของพัฒนาการซึ่งจะมีอาการแตกต่างกันหลากหลายรูปแบบ แต่จะมีลักษณะร่วมคล้ายกัน เช่น สนใจบางอย่างแบบหมกมุ่น ทำอะไรซ้ำ ๆ เป็นแบบแผน ไม่ยืดหยุ่น อยู่ในโลกของตัวเองมาก สนใจสิ่งแวดล้อมน้อย ขาดทักษะทางสังคมและการสื่อสาร โดยอาการจะเริ่มแสดงในช่วงอายุ 18-36 เดือน เมื่อถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกแล้วหลาย ๆ ครั้งความเป็นอัจฉริยะจะถูกมองข้ามไป โดยผู้ปกครองจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขความผิดปกติ จนลืมส่งเสริมความเป็นอัจฉริยะ\n\nหากได้รับการดูแลช่วยเหลือที่ถูกต้อง ส่งเสริมความสามารถที่มีอยู่ควบคู่ไปกับการแก้ไขความบกพร่องจะสามารถดึงความเป็นอัจฉริยะเฉพาะด้าน หรือหลาย ๆ ด้านที่มีอยู่ในตัวคนออทิสติกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่ม “ออทิสติก ซาวองก์” (Autistic Savant)* ซึ่งจากสถิติพบว่ามีประมาณร้อยละ 10 ของผู้ที่เป็นออทิสติกทั้งหมด\n\n*หากสนใจเกี่ยวกับออทิสติก ซาวองก์ ขอแนะนำภาพยนตร์เรื่อง Rain Man (1988) ที่ตัวละครเอกสร้างจากบุคลิคจริง แต่เป็นการรวบรวมความสามารถพิเศษของหลาย ๆ คนไว้ในตัวละครเดียว\n\n\n\n#Mindsth #Howto",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1112425416416018432/activity"
},
{
"type": "Create",
"actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"object": {
"type": "Note",
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1112383465265016832",
"attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855",
"content": "<br /><br /><a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Mindsth\" title=\"#Mindsth\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Mindsth</a> <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&t=all&q=Howto\" title=\"#Howto\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#Howto</a>",
"to": [
"https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public"
],
"cc": [
"https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/followers"
],
"tag": [],
"url": "https://www.minds.com/newsfeed/1112383465265016832",
"published": "2020-05-27T14:14:44+00:00",
"source": {
"content": "\n\n#Mindsth #Howto",
"mediaType": "text/plain"
}
},
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/entities/urn:activity:1112383465265016832/activity"
}
],
"id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/outbox",
"partOf": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1112098173142179855/outboxoutbox"
}