ActivityPub Viewer

A small tool to view real-world ActivityPub objects as JSON! Enter a URL or username from Mastodon or a similar service below, and we'll send a request with the right Accept header to the server to view the underlying object.

Open in browser →
{ "@context": "https://www.w3.org/ns/activitystreams", "type": "OrderedCollectionPage", "orderedItems": [ { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110577996535541760", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "รูปเมื่อ6ปีที่แล้ว <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&amp;t=all&amp;q=6ปีแล้วนะไอสัส\" title=\"#6ปีแล้วนะไอสัส\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#6ปีแล้วนะไอสัส</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110577996535541760", "published": "2020-05-22T14:40:26+00:00", "source": { "content": "รูปเมื่อ6ปีที่แล้ว #6ปีแล้วนะไอสัส", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110577996535541760/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110387792949395456", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "ครบรอบ6ปีรัฐประหาร", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110387792949395456", "published": "2020-05-22T02:04:38+00:00", "source": { "content": "ครบรอบ6ปีรัฐประหาร", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110387792949395456/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110182942302208000", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "<a href=\"https://www.minds.com/newsfeed/1110182942302208000\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/newsfeed/1110182942302208000</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers", "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575345706064158738" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110182942302208000", "published": "2020-05-21T12:30:39+00:00", "inReplyTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575345706064158738/entities/urn:activity:1107375441691824128", "source": { "content": "https://www.minds.com/newsfeed/1110182942302208000", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110182942302208000/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110155151152717824", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "<a href=\"https://www.minds.com/newsfeed/1110155151152717824\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/newsfeed/1110155151152717824</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers", "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575345706064158738" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110155151152717824", "published": "2020-05-21T10:40:13+00:00", "inReplyTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/575345706064158738/entities/urn:activity:1110153288595787776", "source": { "content": "https://www.minds.com/newsfeed/1110155151152717824", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110155151152717824/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110154467320700928", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "เมล็ดพันธุ์มันถูกกระจายออกไปหมดแล้ว พวกมึงล้มกูไม่ได้หรอก", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110154467320700928", "published": "2020-05-21T10:37:26+00:00", "source": { "content": "เมล็ดพันธุ์มันถูกกระจายออกไปหมดแล้ว พวกมึงล้มกูไม่ได้หรอก", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110154467320700928/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110153838458707968", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓<br />๑๙ พ.ค. ๖๓<br />. <br /> แม้คำถามประเภท \"ถ้า...\" ไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้เรารู้ว่าอะไรอุบัติขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แต่มีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจกับอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วได้หลายอย่าง เช่นในบรรดาเงื่อนไขปัจจัยที่นำไปสู่อุบัติการณ์นั้นๆ เงื่อนไขปัจจัยอันใดมีความสำคัญที่สุด และอันใดมีส่วนช่วยสนับสนุน และยังช่วยให้เราหยั่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดมาก่อนหน้าอุบัติการณ์นั้น หรือหลังอุบัติการณ์นั้นได้กระจ่างขึ้น ฯลฯ เป็นต้น<br />.<br /> ก่อนปี ๕๓ ชนชั้นนำกลุ่มใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหรือสนับสนุนการรัฐประหารใน ๒๕๔๙ รู้อยู่แล้วว่า การเลือกตั้งที่ให้สิทธิอย่างเท่าเทียมแก่พลเมืองทุกคนจะให้ผลเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของชนชั้นนำ อันที่จริงนี่เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยทั้งหลาย แต่ชนชั้นนำในสังคมอื่นจะสั่งสมอำนาจที่\"เนียน\"กว่าในการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, หรือการเมือง โดยหลีกเลี่ยงที่จะทำลายสิทธิเสมอภาคของการเลือกตั้งอย่างโจ่งแจ้ง แต่ชนชั้นนำไทยประกอบด้วยกลุ่มคนที่หลากหลายกว่า ซ้ำยังไม่ได้กลืนเข้าหากันภายใต้วัฒนธรรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก เช่นระหว่างครอบครัวเจ้าสัวที่ยังพูดไทยไม่ชัด เจ้าสัวที่ทั้งบิดา-มารดาได้เรียนจนจบจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ไปแล้ว และเจ้าสัวที่มีมารดาเป็นม.ร.ว. ครอบครัวเหล่านี้มีงานอดิเรกคนละอย่าง ฟังเพลงคนละชนิด อ่านหนังสือคนละเล่ม และสร้างเครือข่ายกันไปในหมู่คนต่างกลุ่มกัน (จึงถ้อยทีถ้อยเหยียดกันอยู่ในที)<br />.<br /> ด้วยเหตุดังนั้นจึงไม่สามารถพัฒนายุทธศาสตร์-ยุทธวิธีที่จะถ่วงดุลอาญาสิทธิ์ของการเลือกตั้งด้วยวิธีอื่นมากไปกว่าอำนาจดิบ นั่นคือที่มาของวงจรรัฐประหารในการเมืองไทย และวุฒิสภาจากการแต่งตั้งในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มีความมุ่งหมายที่จะทำลายกลไกถ่วงดุลการเลือกตั้งเหล่านี้ (โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม) แต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ร่างขึ้นเพื่อนำเอากลไกดังกล่าวกลับมาใหม่เป็นบางส่วน โดยความเข้าใจว่าจะเพียงพอกับสถานการณ์ (มีวุฒิสมาชิกจากการแต่งตั้งครึ่งเดียว และแยกการตัดสินใจของสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภาออกจากกัน)<br />.<br /> ผลการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ พิสูจน์ว่า ข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นไม่สามารถลดทอนอาญาสิทธิ์ที่มาจากการเลือกตั้งได้ตามที่มุ่งหวัง จำเป็นต้องสร้างพลังมวลชนในฝ่ายชนชั้นนำ กดดันจนการเมืองไม่อาจดำเนินไปได้โดยปรกติ แม้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะถูก\"ตุลาการภิวัตน์\"ไปถึงสองครั้ง อาญาสิทธิ์ของการเลือกตั้งก็ยังจะเปิดให้มีการตั้งรัฐบาลใหม่ ที่ชนชั้นนำควบคุมได้ยาก ในที่สุดก็ต้องหันไปทำรัฐประหารอีกครั้งในค่ายทหาร ตั้งรัฐบาลที่ชนชั้นนำพอไว้วางใจได้ให้ขึ้นสู่อำนาจใหม่<br />.<br /> แต่ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งตื่นตัวทางการเมืองแล้ว กลับสามารถจัดองค์กรให้แก่ตนเอง เพื่อกดดันรัฐบาลของชนชั้นนำยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่<br />.<br /> ผู้นำของนปช.บางท่านกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของฝ่ายประชาชนให้ยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้งในพ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ เป็นข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นได้ในทุกสังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่รุนแรง (เช่นให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญซึ่งใช้บังคับอยู่) ข้ออ้างนี้ฟังดูจริงในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป แต่ในประเทศไทย การเลือกตั้งนั่นแหละคือตัวประเด็นหลักที่จะทำลายโครงสร้างอำนาจซึ่งดำรงอยู่มาตั้งแต่ ๒๔๙๐ ลงทั้งหมด การเลือกตั้งคือตัวปัญหาหลักที่ฝ่ายชนชั้นนำยังแก้ไม่ตก การเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ คือการบอกชนชั้นนำว่า \"มึงถอยออกไป\" นั่นเอง<br />.<br /> ความรุนแรงที่ฝ่ายชนชั้นนำใช้ในการยุติข้อเรียกร้อง (ที่ฟังดูแสนปรกติธรรมดา) นี้ มักอธิบายกันว่า เป็นเพราะฝ่าย\"เสื้อแดง\"เลือกจะเสนอตนเองเป็นชนชั้นล่าง ซึ่งไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองและไม่ร่วมอยู่ในเครือข่ายไม่ว่าชิดใกล้หรือห่างไกลของชนชั้นนำเลย จึงทำให้ฝ่ายชนชั้นนำไม่มีความยับยั้งชั่งใจ หรือระงับความรุนแรงลงก่อนที่จะสูญเสียมากเกินไป อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในการเมืองไทย<br />.<br /> แต่หากเรามองกลไกการควบคุมทางการเมืองซึ่งชนชั้นนำได้วางไว้ตั้งแต่ ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ก็จะเห็นได้ว่าฝ่ายชนชั้นนำก็ไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากใช้ความรุนแรงอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ความรุนแรงจากการไล่ยิงประชาชนซึ่งปราศจากอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงดึงเอากลไกรัฐทุกอย่าง โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมมารับใช้ระบอบอำนาจนิยมที่สถาปนาขึ้นจนหมดตัว และหมดทุน กลไกรัฐที่ถูกใช้ไปจนหมดตัวและหมดทุนเช่นนี้ ก็เป็นความ\"รุนแรง\"อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ชนชั้นนำไทยไม่สามารถรองรับระบอบใดได้อีก นอกจากระบอบแห่งความรุนแรง<br />.<br /> หากใช้ความเปรียบแบบฝรั่ง การปราบปรามประชาชนอย่างนองเลือดที่สุดซึ่งเกิดในปี ๒๕๕๓ คือการข้ามแม่น้ำรูบิคอนของชนชั้นนำไทย เช่นเดียวกับเมื่อจูเลียส ซีซาร์ตัดสินใจข้ามน้ำนั้นเพื่อปราบชนเผ่าเยอรมัน ชะตากรรมของตัวเขาเองและของกรุงโรมก็เปลี่ยนไปอย่างไม่มีทางหวนกลับไปเหมือนเดิมได้อีก<br />.<br /> แม้แต่การรัฐประหารในปี ๒๕๕๗ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ก็เป็นผลมาจากความรุนแรงที่นำมาใช้ในปี ๒๕๕๓ นับเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ของชนชั้นนำกลุ่มนั้น เมื่อได้ตัดสินใจข้ามแม่น้ำรูบิคอนในปี ๒๕๕๓ มาเสียแล้ว ทั้งรัฐประหาร ๒๕๕๗ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทำทุกอย่างโดยโจ่งแจ้ง ที่จะปลดอำนาจของการเลือกตั้งออกไปจนไร้ความหมาย ในขณะเดียวกันก็ไม่เหลือทางออกสำหรับการประนีประนอมใดๆ แก่ฝ่ายประชาชนด้วย<br />.<br /> ความรุนแรงเป็นวงจรอุบาทว์ที่น่ากลัว ไม่ว่าฝ่ายใดก่อขึ้น ก็ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อปิดโอกาสที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรงตอบโต้ พื้นที่แห่งความขัดแย้งจึงยิ่งขยายออกไปจนครอบงำทุกส่วนของสังคม ช่องทางแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติจึงยิ่งหดลง (เช่นยังเหลือเหยื่อความรุนแรงในปี ๕๓ สักกี่คนที่ยังคิดจะใช้วิธีการทางการศาล เพื่อบรรเทาบาดแผลของตน) แม้แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่นำไปสู่หนทางที่จะแก้ไขความขัดแย้ง หรือเข้าถึงความเป็นธรรมได้ เพราะการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี ๖๐ไม่เปิดโอกาสให้ได้ฝ่ายบริหารตามเจตนาของผู้เลือกตั้ง แต่ต้องเป็นฝ่ายบริหารที่ชนชั้นนำยอมรับเท่านั้น ดังนั้นฝ่ายบริหารที่ได้มาจึงเป็นฝ่ายที่มาจากการใช้ความรุนแรงในการทำรัฐประหาร และร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้เอง<br />.<br /> ความรุนแรงปิดล้อมทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ใช้ความรุนแรง และเหยื่อของความรุนแรง ในที่สุดก็ดึงเอาทุกคนเข้ามาอยู่ในวงล้อมด้วย<br />.<br /> สถานการณ์บังคับให้เราทุกฝ่ายต้องเดินสู่จุดจบที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะจบลงที่การเลือกตั้งที่ไร้ความหมาย หรือลงที่การเลือกตั้งอันมีความหมายบริบูรณ์อย่างที่ควรเป็นก็ตาม<br />.<br /> ดังนั้น ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓ ประเทศไทยและเราทุกคนย่อมไม่เดินมาถึงจุดนี้<br />.<br /> แต่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และถูกเบียดเบียนบีฑาสืบมาจนถึงทุกวันนี้จากหลายฝ่าย ทำให้เราคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ฝ่าย \"เสื้อแดง\" จะชนะ แต่ความเป็นไปได้นั้นพอมีให้เห็นอยู่บ้าง<br />.<br /> ในระยะแรกของการเริ่มรวมตัวเพื่อชุมนุมในปี ๕๓ มีความพยายามของฝ่ายปกครองในจังหวัดต่างๆ ที่จะสะกัดกั้นการรวมตัว ในจังหวัดที่เป็นแหล่งรวมตัวบ้าง ในจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสู่กรุงเทพฯ บ้าง แต่เมื่อการรวมตัวยังทำได้ต่อไป จนกลายเป็นฝูงชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ แล้ว ความพยายามสะกัดกั้นของราชการส่วนภูมิภาคก็ยุติลง การเดินทางลงมาสมทบของผู้คน หรือแม้แต่การส่ง\"กำลังบำรุง\"ในรูปต่างๆ เป็นไปโดยสะดวก<br />.<br /> นปช.อาจเสนอการรวมตัวของประชาชนจากหลายสิบจังหวัดเหล่านี้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างพร้อมเพรียงด้วยความสมัครใจของแต่ละครอบครัวของผู้เข้าร่วมชุมนุม ผู้เขียนไม่คิดว่าการชุมนุมขนาดใหญ่ที่รวมคนหลายประเภทและหลายแหล่งที่มาขนาดนั้นจะเป็นไปได้โดยปราศจาก\"การจัดตั้ง\" โดยเฉพาะในแต่ละจังหวัดย่อมต้องมี\"แกนนำ\"ในการระดม \"แกนนำ\"เหล่านี้คือเครือข่ายที่ประกอบด้วยคนหลายสถานะ นับตั้งแต่นักการเมือง (ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ), นายทุนท้องถิ่น, ผู้มีอิทธิพลทางใดทางหนึ่งในจังหวัด, เชื่อมโยงไปถึงผู้นำในระดับอำเภอ-ตำบล-และหมู่บ้าน<br />.<br /> เพราะสถานะที่\"ไม่ธรรมดา\"ของบุคคลในเครือข่าย\"จัดตั้ง\"เช่นนี้ ทำให้ฝ่ายปกครองในส่วนภูมิภาคเลือกที่จะสะกัดการเดินทางของผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นเพียง\"คนเล็กคนน้อย\" แทนที่จะประกบหรือ\"ล้อค\"บุคคลในเครือข่ายจัดตั้ง ซึ่งจะได้ผลกว่า แต่การสะกัดกั้นคนเล็กคนน้อยทำให้ผู้มีอำนาจในส่วนกลางซึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้ในเวลานั้นเห็นว่า ได้พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว<br />.<br /> ประเด็นที่ต้องการกล่าวในที่นี้ก็คือ กลไกรัฐของไทยไม่มีความเป็นเอกภาพ ในยามที่มีการต่อสู้ทางการเมืองอย่างหนักในส่วนกลาง ข้าราชการมักเลือกจะ (ขอใช้สำนวนฝรั่งอีกครั้ง) \"นั่งอยู่บนรั้ว\" รอให้เห็นชัดว่าฝ่ายใดชนะเสียก่อนจึงกระโดดลงมายืนอยู่ฝ่ายนั้น<br />.<br /> สรุปก็คือ ตกถึงปลายเมษายนและต้นพฤษภาคม ๒๕๕๓ ระบบควบคุมผ่านกลไกรัฐของรัฐบาลที่ชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งตั้งขึ้น ได้สลายลงไปเกือบหมดแล้ว เพราะระบบราชการเกือบทั้งหมดขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วรอสัญญาณที่ชัดเจนว่าฝ่ายใดจะชนะ<br />.<br /> สิ่งที่น่าถามต่อมาก็คือ เมื่อกลไกรัฐส่วนที่เป็นราชการพลเรือนขาดเอกภาพ กองทัพเล่ามีเอกภาพมากน้อยเพียงไร ผู้เขียนเห็นว่าก็ขาดเอกภาพไม่ต่างจากกัน ยิ่งในพ.ศ.๒๕๕๓ มองเห็นได้ชัดแล้วว่า \"มุ้ง\"หรือ faction หนึ่งของกองทัพคือ\"บูรพาพยัคฆ์\"กำลังเข้ามาสืบทอดอำนาจครอบครองทั้งตำแหน่งและผลประโยชน์ (ที่เรียกกันในภายหลังว่า \"ทุนสีเขียว\" หรือ Khaki Capital) ของกองทัพไปอย่างสืบเนื่อง \"มุ้ง\"อื่นในกองทัพย่อมเลือกจะ\"นั่งอยู่บนรั้ว\"เช่นเดียวกัน<br />.<br /> ตราบเท่าที่กองทัพยังจมดิ่งเสวยสุขอยู่กับ\"ทุนสีเขียว\"มูลค่ามหาศาลเช่นนี้ ก็ยากที่กองทัพจะมีเอกภาพได้<br />.<br /> น่าสังเกตด้วยว่า ส่วนใหญ่ของหน่วยทหารที่ใช้ในการปราบปราม\"เสื้อแดง\"อย่างโหดเหี้ยมนั้น ล้วนเป็นหน่วยทหารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก (คล้ายๆ กับการสังหารหมู่ประชาชนทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต) เหตุผลก็เพราะหน่วยทหารเหล่านี้มักอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ \"สาย\" ที่ครองอำนาจอยู่ในกองทัพ เพราะเป็นพรรคพวกเดียวกันจึงได้รับมอบหมายให้คุมกำลังซึ่งอาจนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้ หรือป้องกันมิให้คู่แข่งนำไปใช้ประโยชน์บ้าง<br />.<br /> ดังนั้นในปลายเมษายนและต้นพฤษภาคม รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงตกอยู่ในที่ล้อม ไม่ใช่เพราะ\"เสื้อแดง\"ที่ราชประสงค์เพียงอย่างเดียว แต่สถานการณ์ของทั้งประเทศโดดเดี่ยวรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพภายใต้บูรพาพยัคฆ์ไปอย่างเด็ดขาดด้วย หากทิ้งให้การชุมนุมประท้วงดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์และบูรพาพยัคฆ์ย่อมตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงมากขึ้นทุกที<br />.<br /> นี่คือเหตุผลที่การขอคืนพื้นที่และการกระชับวงล้อมต้องทำอย่างเด็ดขาด, รุนแรง, และเหี้ยมเกรียม เพื่อยุติการชุมนุมอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาอันสั้น ส่งสัญญาณที่ไม่มีทางอ่านผิดไปทั่วประเทศว่าใครคือฝ่ายชนะ (ผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลถนอม-ประภาสในปี ๒๕๑๗ และรัฐบาลสุจินดาในพ.ศ.๒๕๓๕ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน)<br />.<br /> ข้อสมมติว่า ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓ จึงไม่ใช่ความเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว และถ้าประชาชนเป็นฝ่ายชนะ (ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังการล้อมปราบอย่างเหี้ยมโหด) จะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย<br />.<br /> ประการแรก ผู้เขียนเชื่อว่า ชนชั้นล่าง (ซึ่งผู้เขียนเคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่าคือคนชั้นกลางระดับล่าง) จะมีที่ทางอย่างเด่นชัดในการเมืองไทย พวกเขาคงจะยึดเอาการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการมีส่วนทางการเมือง เพราะจำนวนที่มาก แม้ขาดการจัดองค์กรที่กระชับ ก็จะประกันสิทธิเท่าเทียมทางการเมืองของพวกเขา และด้วยเหตุดังนั้นพรรคการเมืองและ\"ฝ่ายการเมือง\"กลุ่มต่างๆ จะ\"เห็นหัว\"พวกเขายิ่งขึ้น ไม่เฉพาะแต่พรรคทรท.เท่านั้น แต่รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย เจ้าสัวทั้งหลายต้องเร่งทำ CSR มากขึ้น หรือเบน CSR ที่ทำอยู่ให้\"ดัง\"ในหมู่ชนชั้นกลางระดับล่างมากกว่าการบริจาคโครงการสังคมสงเคราะห์ระดับบน<br />.<br /> ประการต่อมา ในระยะเวลาเพียง ๑๘ ปีจาก ๒๕๓๕ กองทัพพิสูจน์ให้เห็นว่า กำลังทางทหารของตนไม่สามารถกำหนดทิศทางทางการเมืองได้ กองทัพจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนักของชนชั้นนำ อย่างน้อยก็มีขีดจำกัดที่ใช้ล้มกระดานไม่ได้ผล คือถึงล้มกระดานได้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างกระดานใหม่เพื่อตอบสนองอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชนชั้นนำได้เต็มที่นัก อย่างไรเสียระบอบปกครองที่เกิดจากการล้มกระดาน ก็ต้องประนีประนอมกับอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชนชั้นอื่นอยู่มาก<br />.<br /> เมื่อกองทัพไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพมากนัก <br />.<br /> การเมืองไทยที่\"คาดเดาได้\"มากขึ้นนี้ ย่อมเป็นผลดีแก่เศรษฐกิจไทยด้วย อาจเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไทยซึ่งเริ่มทรุดลงตั้งแต่ ๒๕๔๙ จะเริ่มทรงตัวและอาจผงกขึ้นได้ นอกจากนี้ สิทธิประชาธิปไตยซึ่งมั่นคงขึ้นก็จะบีบบังคับให้ฝ่ายทุนต้องปรับตัว ซึ่งในระยะหนึ่งคงเกิดความเจ็บปวดแก่สังคมด้วย เช่นขยับเทคโนโลยีการผลิตให้สูงขึ้นเพื่อลดการจ้างแรงงานลง เพราะไม่สามารถกดราคาแรงงานได้ต่อไป ความจำเป็นที่บีบบังคับให้เกิดการปฏิรูปของฝ่ายทุนนี้เอง อาจเป็นไกปืนที่ผลักให้เกิดการปฏิรูปในด้านอื่นเช่นการศึกษาด้วยเป็นต้น<br />.<br /> ที่กล่าวข้างต้นนี้มาจากความเชื่อของผู้เขียนว่า สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ, สังคม, และการเมืองต่างหาก ที่บีบบังคับให้เกิดการปฏิรูปได้จริง ไม่ใช่คำสั่งของเผด็จการหรือนโยบายของพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว<br />.<br /> เมื่อชนชั้นนำไม่เห็นประโยชน์ทางการเมืองของกองทัพมากนัก ก็น่าจะแทรกแซงกองทัพน้อยลง \"การเมือง\"ของกองทัพก็จะเปลี่ยนไป จากการเกาะกลุ่มเป็น\"สาย\"ในกองทัพ เพื่อแข่งกันชิงตำแหน่งระดับสูง ก็จะเป็นโอกาสมากขึ้นของทหารอาชีพที่มีสมรรถภาพจริง ได้ไต่เต้าสู่ระดับบังคับบัญชาขั้นสูงได้ ถึงนายทหารเหล่านี้ไม่เป็นผู้นำในการล้มเลิก\"ทุนสีเขียว\"เสียเอง แต่ในภาวะที่\"การเมืองนำการทหาร\"ก็เป็นไปได้ว่า \"ทุนสีเขียว\"จะถูกบ่อนทำลายลงทีละเล็กละน้อย จนหมดความสำคัญลงในที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลานานแต่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น<br />.<br /> ประการที่สาม เป็นไปได้อย่างมากที่สุดที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากเป็นข้อเสนอหนึ่งของผู้นำนปช.บางคนแล้ว ยังเป็นหนทางที่จะล้มล้างความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นระหว่างการรัฐประหาร ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ด้วย ทั้งในทางการเมือง, ตุลาการ, กฏหมาย, และกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นในการเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นหลังชัยชนะของประชาชน พรรคการเมืองที่เลือกจะชิงการสนับสนุนจากกลุ่ม\"เสื้อแดง\" ย่อมใช้การนำเอารัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมาใช้ใหม่เป็นนโยบายหาเสียง ทั้งนี้ไม่ได้จำกัดแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากรวมพรรคการเมืองอื่นๆ อีกหลายพรรคที่ต้องการคะแนนเสียงเหมือนกัน<br />.<br /> ผลของการเลือกตั้งสร้างปราการอันแข็งแกร่งขึ้นปกป้องรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ แต่ผลของความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่าง ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ก็ยังอยู่ และกลายเป็นอุปสรรคทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ พอสมควร เช่นนักการเมืองที่เจนจัดในเวทีการเมืองจำนวนเป็นร้อยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง<br />.<br /> จะแก้ปัญหานี้อย่างไร โดยไม่บั่นรอนสถาบันตุลาการ และสถาบันทางการเมืองอื่นๆ จนทำให้สังคมสูญเสียศรัทธาไปจนหมดสิ้น เหลือหนทางจะทำได้ก็โดยการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ซึ่งก็แก้ปัญหาไปได้เพียงส่วนเดียว และจำกัดอยู่แต่ทางด้านการเมืองเท่านั้น) หรือหันกลับมารับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ คือถือว่าการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ไม่เป็นผลใดๆ ทั้งสิ้นในทางกฏหมาย มีคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นเพื่อพิจารณากฏหมายและคำสั่งบางข้อ ให้มีผลต่อไปตามคำรับรองของรัฐสภาเท่านั้น<br />.<br /> ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคุณทักษิณ ชินวัตรจะกลับประเทศไทย ส่วนจะกลับมาเป็นผู้นำทางการเมืองอีกหรือไม่ ก็ต้องผ่านการเลือกตั้ง (ที่จัดขึ้นใหม่หลัง ๒๕๕๓ หรือที่ค้างเก่ามาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารที่ถูก\"ตุลาการภิวัตน์\"ตัดสินว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ)<br />.<br /> คุณทักษิณคนใหม่ก็จะใช้ถุงมือกำมะหยี่แทนถุงมือเหล็กอย่างที่เคยใช้มา เป็นผลให้ลดศัตรูลง แม้ยังเหลืออยู่บ้างก็เป็นจำนวนน้อย (เช่นตัวผู้เขียนเอง ซึ่งไม่ไว้วางใจถุงมือทุกชนิด)<br />.<br /> ด้วยเหตุดังนั้น ชนชั้นนำกลุ่มใหญ่ก็จะยอมรับคุณทักษิณได้มากขึ้น อย่างน้อยนโยบาย Dual Tracks หรือนโยบายสองวิถีของคุณทักษิณ ก็ไม่บั่นรอนผลประโยชน์ของฝ่ายทุน และในระยะยาวก็อาจเป็นคุณด้วย เพราะทำให้การเอารัดเอาเปรียบของฝ่ายทุนแหลมคมน้อยลงในความรู้สึกของคนชั้นกลางระดับล่าง<br />.<br /> แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณทักษิณเป็นนายกฯ ต่อมาอีก ๑๖ ปีอย่างที่ประกาศว่าจะเป็นต่อกันถึง ๒๐ ปี สองวิถีก็อาจค่อยๆ เปลี่ยนจากเส้นขนานมาทับเป็นเส้นเดียวกัน โดยที่วิถีของคนเล็กคนน้อยจะเหลืออยู่แต่เป็นลูกจ้างหรือเอเย่นต์รายย่อยของทุนระดับใหญ่ – ของไทยหรือของโลก – เท่านั้น<br />.<br /> อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะคุณทักษิณและพรรคทรท.คงได้เป็นรัฐบาลสืบเนื่องมาอีกอย่างน้อยหนึ่งหรือสองสมัยเป็นอย่างน้อย โอกาสที่จะเกิดพรรคคู่แข่งที่พอจะถ่วงดุลอำนาจของทรท.ได้ คงเกิดได้ยากใน ๔-๘ ปีต่อมา แม้จะมีพรรคอนาคตใหม่ ก็คงต้องใช้เวลานานกว่าที่ผ่านมาอีกมาก กว่าจะตั้งตัวติดบนเวทีการเมือง ส่วนปชป.นั้นไม่ต้องพูดถึง คงสูญพันธุ์ไปเท่านั้น<br />.<br /> เสถียรภาพนี้น่าจะทำให้การกระชับระบบราชการให้รวมศูนย์ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายปฏิรูประบบราชการของทรท. ประสบความสำเร็จ คือไม่ใช่รวมศูนย์อย่างเดียว แต่มีเอกภาพภายใต้\"ซีอีโอ\"ด้วย พลังของราชการรวมศูนย์ที่มีเอกภาพเช่นนี้ จะบ่อนทำลายการเติบโตของอำนาจปกครองตนเองของท้องถิ่นมากน้อยเพียงไร ตอบได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับว่าคุณทักษิณจะประสาน\"สองวิถี\"ของการพัฒนาไปอย่างไร<br />.<br /> แม้ว่า ชัยชนะของประชาชนในปี ๕๓ จะนำมาซึ่งความมั่นคงทางการเมืองแก่พรรคทรท.สักเพียงไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีความตึงเครียดในพรรคทรท.อยู่ไม่น้อยเลย จำนวนไม่น้อยของส.ส.คือเครือข่ายของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ในขณะที่ส่วนยอดของปิรามิดคือคุณทักษิณและกลุ่ม\"นักปฏิรูป\"จากหลายสาขาอาชีพ ที่แวดล้อมคุณทักษิณอยู่ โดยแทบไม่มีคะแนนนิยมทางการเมืองของตนเองเลย เช่น ปัญญาชนอิสระบ้าง, หมอชนบทบ้าง, เกษตรกรแผนใหม่บ้าง, ผู้บริหารการศึกษาระดับสูงบ้าง, ฯลฯ<br />.<br /> ความคิด ความเชื่อและความคาดหวังระหว่างคนในส่วนยอดปิรามิด กับส่วนใหญ่ของส.ส.ซึ่งมาจากกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น แตกต่างกันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวิธีปฏิบัติต่อนโยบายซึ่งอาจเห็นพ้องต้องกันอยู่แล้วก็ได้<br />.<br /> คุณทักษิณต้องประนีประนอมคนสองพวกนี้ให้เดินไปด้วยกันให้ได้ หากจะให้ประเมินว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีกลุ่ม\"นักปฏิรูป\"ลาจากพรรคทรท.ไปจำนวนหนึ่ง กลุ่มนักการเมืองส่วนหนึ่งก็เช่นกัน และบางคนถึงประกาศตนเป็นอริกับคุณทักษิณในตอนท้ายเลย (ขอให้สังเกตด้วยว่า นักการเมืองและผู้ที่เข้าร่วมในค.ร.ม.ของคสช.และพรรคพปชร.จำนวนไม่น้อย ก็ล้วนเคยอยู่กับคุณทักษิณในทรท.มาก่อน) แม้กระนั้นคุณทักษิณก็สามารถนำพรรคทรท.กวาดคะแนนเสียงไปได้อย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไปสมัยที่สอง (ที่ถูกตัดสินให้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไป) ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า คุณทักษิณจะสามารถประนีประนอมคนสองจำพวกนี้ต่อไปอีก ๑๖ ปี โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อคะแนนเสียงของพรรคทรท.ได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อนโยบายจะนำเอาความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาเข้าสู่สังคม และเมื่อเกิดพรรคฝ่ายค้านใหม่ที่น่าเกรงขามกว่าพรรคฝ่ายค้านเดิมที่มีมา<br />.<br /> นอกจากนี้การขยายตัวของความคิดเสรีนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ (ซึ่งจะเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่เกิดการรัฐประหารในพ.ศ.๒๕๕๗ ผู้เขียนก็เดาไม่ถูก) จะเป็นคุณหรือเป็นโทษทางการเมืองแก่พรรคทรท.ของคุณทักษิณ? ถ้าเป็นโทษ คุณทักษิณจะอยู่รอดทางการเมืองถึงอีก ๑๖ ปีตามที่คาดหวังไว้ละหรือ<br />.<br /> แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่ว่าชะตากรรมทางการเมืองของพรรคทรท.จะลงเอยอย่างไร การเปลี่ยนผ่านไปสู่พรรคใหม่ นโยบายใหม่ และบุคลิกภาพใหม่ จะเกิดขึ้นตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งจะยิ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้นในสังคม จนกระทั่งชนชั้นนำต้องเลือกวิธีอื่นที่ไม่ขัดแย้งกับกระบวนการประชาธิปไตย ในการรักษาอุดมการณ์และผลประโยชน์ของฝ่ายตน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงเป็นอื่นได้<br />.<br /> แต่ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ข้อสมมติว่าประชาชนชนะในปี ๒๕๕๓ นั้นไม่จริง ตรงกันข้าม กลับพ่ายแพ้ยับเยิน แม้กระนั้นการสมมตินี้ก็มีประโยชน์ เพราะทำให้เราหยั่งได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งจมดิ่งไปสู่แนวทางเดียวของความรุนแรงนั้น นำเรามาถึงจุดที่ไม่อาจหาทางออกทางอื่นได้อีกแล้วในปัจจุบัน ท่ามกลางความสูญเสีย ไม่เฉพาะแต่ชีวิตและสวัสดิภาพของผู้คนจำนวนมากในเหตุการณ์ล้อมปราบ แต่ยังรวมถึงโอกาสแห่งความรุ่งเรือง, เสรีภาพ และความสงบที่คนไทยควรได้รับด้วย <a href=\"https://www.minds.com/search?f=top&amp;t=all&amp;q=ข้อความที่ควรอ่านมากๆของ\" title=\"#ข้อความที่ควรอ่านมากๆของ\" class=\"u-url hashtag\" target=\"_blank\">#ข้อความที่ควรอ่านมากๆของ</a> อ.นิธิ", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110153838458707968", "published": "2020-05-21T10:35:00+00:00", "source": { "content": "นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓\n๑๙ พ.ค. ๖๓\n. \n แม้คำถามประเภท \"ถ้า...\" ไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้เรารู้ว่าอะไรอุบัติขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แต่มีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจกับอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วได้หลายอย่าง เช่นในบรรดาเงื่อนไขปัจจัยที่นำไปสู่อุบัติการณ์นั้นๆ เงื่อนไขปัจจัยอันใดมีความสำคัญที่สุด และอันใดมีส่วนช่วยสนับสนุน และยังช่วยให้เราหยั่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดมาก่อนหน้าอุบัติการณ์นั้น หรือหลังอุบัติการณ์นั้นได้กระจ่างขึ้น ฯลฯ เป็นต้น\n.\n ก่อนปี ๕๓ ชนชั้นนำกลุ่มใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหรือสนับสนุนการรัฐประหารใน ๒๕๔๙ รู้อยู่แล้วว่า การเลือกตั้งที่ให้สิทธิอย่างเท่าเทียมแก่พลเมืองทุกคนจะให้ผลเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของชนชั้นนำ อันที่จริงนี่เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยทั้งหลาย แต่ชนชั้นนำในสังคมอื่นจะสั่งสมอำนาจที่\"เนียน\"กว่าในการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, หรือการเมือง โดยหลีกเลี่ยงที่จะทำลายสิทธิเสมอภาคของการเลือกตั้งอย่างโจ่งแจ้ง แต่ชนชั้นนำไทยประกอบด้วยกลุ่มคนที่หลากหลายกว่า ซ้ำยังไม่ได้กลืนเข้าหากันภายใต้วัฒนธรรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก เช่นระหว่างครอบครัวเจ้าสัวที่ยังพูดไทยไม่ชัด เจ้าสัวที่ทั้งบิดา-มารดาได้เรียนจนจบจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ไปแล้ว และเจ้าสัวที่มีมารดาเป็นม.ร.ว. ครอบครัวเหล่านี้มีงานอดิเรกคนละอย่าง ฟังเพลงคนละชนิด อ่านหนังสือคนละเล่ม และสร้างเครือข่ายกันไปในหมู่คนต่างกลุ่มกัน (จึงถ้อยทีถ้อยเหยียดกันอยู่ในที)\n.\n ด้วยเหตุดังนั้นจึงไม่สามารถพัฒนายุทธศาสตร์-ยุทธวิธีที่จะถ่วงดุลอาญาสิทธิ์ของการเลือกตั้งด้วยวิธีอื่นมากไปกว่าอำนาจดิบ นั่นคือที่มาของวงจรรัฐประหารในการเมืองไทย และวุฒิสภาจากการแต่งตั้งในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มีความมุ่งหมายที่จะทำลายกลไกถ่วงดุลการเลือกตั้งเหล่านี้ (โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม) แต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ร่างขึ้นเพื่อนำเอากลไกดังกล่าวกลับมาใหม่เป็นบางส่วน โดยความเข้าใจว่าจะเพียงพอกับสถานการณ์ (มีวุฒิสมาชิกจากการแต่งตั้งครึ่งเดียว และแยกการตัดสินใจของสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภาออกจากกัน)\n.\n ผลการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ พิสูจน์ว่า ข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นไม่สามารถลดทอนอาญาสิทธิ์ที่มาจากการเลือกตั้งได้ตามที่มุ่งหวัง จำเป็นต้องสร้างพลังมวลชนในฝ่ายชนชั้นนำ กดดันจนการเมืองไม่อาจดำเนินไปได้โดยปรกติ แม้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะถูก\"ตุลาการภิวัตน์\"ไปถึงสองครั้ง อาญาสิทธิ์ของการเลือกตั้งก็ยังจะเปิดให้มีการตั้งรัฐบาลใหม่ ที่ชนชั้นนำควบคุมได้ยาก ในที่สุดก็ต้องหันไปทำรัฐประหารอีกครั้งในค่ายทหาร ตั้งรัฐบาลที่ชนชั้นนำพอไว้วางใจได้ให้ขึ้นสู่อำนาจใหม่\n.\n แต่ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งตื่นตัวทางการเมืองแล้ว กลับสามารถจัดองค์กรให้แก่ตนเอง เพื่อกดดันรัฐบาลของชนชั้นนำยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่\n.\n ผู้นำของนปช.บางท่านกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของฝ่ายประชาชนให้ยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้งในพ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ เป็นข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นได้ในทุกสังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่รุนแรง (เช่นให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญซึ่งใช้บังคับอยู่) ข้ออ้างนี้ฟังดูจริงในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป แต่ในประเทศไทย การเลือกตั้งนั่นแหละคือตัวประเด็นหลักที่จะทำลายโครงสร้างอำนาจซึ่งดำรงอยู่มาตั้งแต่ ๒๔๙๐ ลงทั้งหมด การเลือกตั้งคือตัวปัญหาหลักที่ฝ่ายชนชั้นนำยังแก้ไม่ตก การเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ คือการบอกชนชั้นนำว่า \"มึงถอยออกไป\" นั่นเอง\n.\n ความรุนแรงที่ฝ่ายชนชั้นนำใช้ในการยุติข้อเรียกร้อง (ที่ฟังดูแสนปรกติธรรมดา) นี้ มักอธิบายกันว่า เป็นเพราะฝ่าย\"เสื้อแดง\"เลือกจะเสนอตนเองเป็นชนชั้นล่าง ซึ่งไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองและไม่ร่วมอยู่ในเครือข่ายไม่ว่าชิดใกล้หรือห่างไกลของชนชั้นนำเลย จึงทำให้ฝ่ายชนชั้นนำไม่มีความยับยั้งชั่งใจ หรือระงับความรุนแรงลงก่อนที่จะสูญเสียมากเกินไป อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในการเมืองไทย\n.\n แต่หากเรามองกลไกการควบคุมทางการเมืองซึ่งชนชั้นนำได้วางไว้ตั้งแต่ ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ก็จะเห็นได้ว่าฝ่ายชนชั้นนำก็ไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากใช้ความรุนแรงอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ความรุนแรงจากการไล่ยิงประชาชนซึ่งปราศจากอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงดึงเอากลไกรัฐทุกอย่าง โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมมารับใช้ระบอบอำนาจนิยมที่สถาปนาขึ้นจนหมดตัว และหมดทุน กลไกรัฐที่ถูกใช้ไปจนหมดตัวและหมดทุนเช่นนี้ ก็เป็นความ\"รุนแรง\"อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ชนชั้นนำไทยไม่สามารถรองรับระบอบใดได้อีก นอกจากระบอบแห่งความรุนแรง\n.\n หากใช้ความเปรียบแบบฝรั่ง การปราบปรามประชาชนอย่างนองเลือดที่สุดซึ่งเกิดในปี ๒๕๕๓ คือการข้ามแม่น้ำรูบิคอนของชนชั้นนำไทย เช่นเดียวกับเมื่อจูเลียส ซีซาร์ตัดสินใจข้ามน้ำนั้นเพื่อปราบชนเผ่าเยอรมัน ชะตากรรมของตัวเขาเองและของกรุงโรมก็เปลี่ยนไปอย่างไม่มีทางหวนกลับไปเหมือนเดิมได้อีก\n.\n แม้แต่การรัฐประหารในปี ๒๕๕๗ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ก็เป็นผลมาจากความรุนแรงที่นำมาใช้ในปี ๒๕๕๓ นับเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ของชนชั้นนำกลุ่มนั้น เมื่อได้ตัดสินใจข้ามแม่น้ำรูบิคอนในปี ๒๕๕๓ มาเสียแล้ว ทั้งรัฐประหาร ๒๕๕๗ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทำทุกอย่างโดยโจ่งแจ้ง ที่จะปลดอำนาจของการเลือกตั้งออกไปจนไร้ความหมาย ในขณะเดียวกันก็ไม่เหลือทางออกสำหรับการประนีประนอมใดๆ แก่ฝ่ายประชาชนด้วย\n.\n ความรุนแรงเป็นวงจรอุบาทว์ที่น่ากลัว ไม่ว่าฝ่ายใดก่อขึ้น ก็ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อปิดโอกาสที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรงตอบโต้ พื้นที่แห่งความขัดแย้งจึงยิ่งขยายออกไปจนครอบงำทุกส่วนของสังคม ช่องทางแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติจึงยิ่งหดลง (เช่นยังเหลือเหยื่อความรุนแรงในปี ๕๓ สักกี่คนที่ยังคิดจะใช้วิธีการทางการศาล เพื่อบรรเทาบาดแผลของตน) แม้แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่นำไปสู่หนทางที่จะแก้ไขความขัดแย้ง หรือเข้าถึงความเป็นธรรมได้ เพราะการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี ๖๐ไม่เปิดโอกาสให้ได้ฝ่ายบริหารตามเจตนาของผู้เลือกตั้ง แต่ต้องเป็นฝ่ายบริหารที่ชนชั้นนำยอมรับเท่านั้น ดังนั้นฝ่ายบริหารที่ได้มาจึงเป็นฝ่ายที่มาจากการใช้ความรุนแรงในการทำรัฐประหาร และร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้เอง\n.\n ความรุนแรงปิดล้อมทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ใช้ความรุนแรง และเหยื่อของความรุนแรง ในที่สุดก็ดึงเอาทุกคนเข้ามาอยู่ในวงล้อมด้วย\n.\n สถานการณ์บังคับให้เราทุกฝ่ายต้องเดินสู่จุดจบที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะจบลงที่การเลือกตั้งที่ไร้ความหมาย หรือลงที่การเลือกตั้งอันมีความหมายบริบูรณ์อย่างที่ควรเป็นก็ตาม\n.\n ดังนั้น ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓ ประเทศไทยและเราทุกคนย่อมไม่เดินมาถึงจุดนี้\n.\n แต่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และถูกเบียดเบียนบีฑาสืบมาจนถึงทุกวันนี้จากหลายฝ่าย ทำให้เราคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ฝ่าย \"เสื้อแดง\" จะชนะ แต่ความเป็นไปได้นั้นพอมีให้เห็นอยู่บ้าง\n.\n ในระยะแรกของการเริ่มรวมตัวเพื่อชุมนุมในปี ๕๓ มีความพยายามของฝ่ายปกครองในจังหวัดต่างๆ ที่จะสะกัดกั้นการรวมตัว ในจังหวัดที่เป็นแหล่งรวมตัวบ้าง ในจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสู่กรุงเทพฯ บ้าง แต่เมื่อการรวมตัวยังทำได้ต่อไป จนกลายเป็นฝูงชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ แล้ว ความพยายามสะกัดกั้นของราชการส่วนภูมิภาคก็ยุติลง การเดินทางลงมาสมทบของผู้คน หรือแม้แต่การส่ง\"กำลังบำรุง\"ในรูปต่างๆ เป็นไปโดยสะดวก\n.\n นปช.อาจเสนอการรวมตัวของประชาชนจากหลายสิบจังหวัดเหล่านี้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างพร้อมเพรียงด้วยความสมัครใจของแต่ละครอบครัวของผู้เข้าร่วมชุมนุม ผู้เขียนไม่คิดว่าการชุมนุมขนาดใหญ่ที่รวมคนหลายประเภทและหลายแหล่งที่มาขนาดนั้นจะเป็นไปได้โดยปราศจาก\"การจัดตั้ง\" โดยเฉพาะในแต่ละจังหวัดย่อมต้องมี\"แกนนำ\"ในการระดม \"แกนนำ\"เหล่านี้คือเครือข่ายที่ประกอบด้วยคนหลายสถานะ นับตั้งแต่นักการเมือง (ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ), นายทุนท้องถิ่น, ผู้มีอิทธิพลทางใดทางหนึ่งในจังหวัด, เชื่อมโยงไปถึงผู้นำในระดับอำเภอ-ตำบล-และหมู่บ้าน\n.\n เพราะสถานะที่\"ไม่ธรรมดา\"ของบุคคลในเครือข่าย\"จัดตั้ง\"เช่นนี้ ทำให้ฝ่ายปกครองในส่วนภูมิภาคเลือกที่จะสะกัดการเดินทางของผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นเพียง\"คนเล็กคนน้อย\" แทนที่จะประกบหรือ\"ล้อค\"บุคคลในเครือข่ายจัดตั้ง ซึ่งจะได้ผลกว่า แต่การสะกัดกั้นคนเล็กคนน้อยทำให้ผู้มีอำนาจในส่วนกลางซึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้ในเวลานั้นเห็นว่า ได้พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว\n.\n ประเด็นที่ต้องการกล่าวในที่นี้ก็คือ กลไกรัฐของไทยไม่มีความเป็นเอกภาพ ในยามที่มีการต่อสู้ทางการเมืองอย่างหนักในส่วนกลาง ข้าราชการมักเลือกจะ (ขอใช้สำนวนฝรั่งอีกครั้ง) \"นั่งอยู่บนรั้ว\" รอให้เห็นชัดว่าฝ่ายใดชนะเสียก่อนจึงกระโดดลงมายืนอยู่ฝ่ายนั้น\n.\n สรุปก็คือ ตกถึงปลายเมษายนและต้นพฤษภาคม ๒๕๕๓ ระบบควบคุมผ่านกลไกรัฐของรัฐบาลที่ชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งตั้งขึ้น ได้สลายลงไปเกือบหมดแล้ว เพราะระบบราชการเกือบทั้งหมดขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วรอสัญญาณที่ชัดเจนว่าฝ่ายใดจะชนะ\n.\n สิ่งที่น่าถามต่อมาก็คือ เมื่อกลไกรัฐส่วนที่เป็นราชการพลเรือนขาดเอกภาพ กองทัพเล่ามีเอกภาพมากน้อยเพียงไร ผู้เขียนเห็นว่าก็ขาดเอกภาพไม่ต่างจากกัน ยิ่งในพ.ศ.๒๕๕๓ มองเห็นได้ชัดแล้วว่า \"มุ้ง\"หรือ faction หนึ่งของกองทัพคือ\"บูรพาพยัคฆ์\"กำลังเข้ามาสืบทอดอำนาจครอบครองทั้งตำแหน่งและผลประโยชน์ (ที่เรียกกันในภายหลังว่า \"ทุนสีเขียว\" หรือ Khaki Capital) ของกองทัพไปอย่างสืบเนื่อง \"มุ้ง\"อื่นในกองทัพย่อมเลือกจะ\"นั่งอยู่บนรั้ว\"เช่นเดียวกัน\n.\n ตราบเท่าที่กองทัพยังจมดิ่งเสวยสุขอยู่กับ\"ทุนสีเขียว\"มูลค่ามหาศาลเช่นนี้ ก็ยากที่กองทัพจะมีเอกภาพได้\n.\n น่าสังเกตด้วยว่า ส่วนใหญ่ของหน่วยทหารที่ใช้ในการปราบปราม\"เสื้อแดง\"อย่างโหดเหี้ยมนั้น ล้วนเป็นหน่วยทหารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก (คล้ายๆ กับการสังหารหมู่ประชาชนทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต) เหตุผลก็เพราะหน่วยทหารเหล่านี้มักอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ \"สาย\" ที่ครองอำนาจอยู่ในกองทัพ เพราะเป็นพรรคพวกเดียวกันจึงได้รับมอบหมายให้คุมกำลังซึ่งอาจนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้ หรือป้องกันมิให้คู่แข่งนำไปใช้ประโยชน์บ้าง\n.\n ดังนั้นในปลายเมษายนและต้นพฤษภาคม รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงตกอยู่ในที่ล้อม ไม่ใช่เพราะ\"เสื้อแดง\"ที่ราชประสงค์เพียงอย่างเดียว แต่สถานการณ์ของทั้งประเทศโดดเดี่ยวรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพภายใต้บูรพาพยัคฆ์ไปอย่างเด็ดขาดด้วย หากทิ้งให้การชุมนุมประท้วงดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์และบูรพาพยัคฆ์ย่อมตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงมากขึ้นทุกที\n.\n นี่คือเหตุผลที่การขอคืนพื้นที่และการกระชับวงล้อมต้องทำอย่างเด็ดขาด, รุนแรง, และเหี้ยมเกรียม เพื่อยุติการชุมนุมอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาอันสั้น ส่งสัญญาณที่ไม่มีทางอ่านผิดไปทั่วประเทศว่าใครคือฝ่ายชนะ (ผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลถนอม-ประภาสในปี ๒๕๑๗ และรัฐบาลสุจินดาในพ.ศ.๒๕๓๕ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน)\n.\n ข้อสมมติว่า ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓ จึงไม่ใช่ความเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว และถ้าประชาชนเป็นฝ่ายชนะ (ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังการล้อมปราบอย่างเหี้ยมโหด) จะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย\n.\n ประการแรก ผู้เขียนเชื่อว่า ชนชั้นล่าง (ซึ่งผู้เขียนเคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่าคือคนชั้นกลางระดับล่าง) จะมีที่ทางอย่างเด่นชัดในการเมืองไทย พวกเขาคงจะยึดเอาการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการมีส่วนทางการเมือง เพราะจำนวนที่มาก แม้ขาดการจัดองค์กรที่กระชับ ก็จะประกันสิทธิเท่าเทียมทางการเมืองของพวกเขา และด้วยเหตุดังนั้นพรรคการเมืองและ\"ฝ่ายการเมือง\"กลุ่มต่างๆ จะ\"เห็นหัว\"พวกเขายิ่งขึ้น ไม่เฉพาะแต่พรรคทรท.เท่านั้น แต่รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย เจ้าสัวทั้งหลายต้องเร่งทำ CSR มากขึ้น หรือเบน CSR ที่ทำอยู่ให้\"ดัง\"ในหมู่ชนชั้นกลางระดับล่างมากกว่าการบริจาคโครงการสังคมสงเคราะห์ระดับบน\n.\n ประการต่อมา ในระยะเวลาเพียง ๑๘ ปีจาก ๒๕๓๕ กองทัพพิสูจน์ให้เห็นว่า กำลังทางทหารของตนไม่สามารถกำหนดทิศทางทางการเมืองได้ กองทัพจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนักของชนชั้นนำ อย่างน้อยก็มีขีดจำกัดที่ใช้ล้มกระดานไม่ได้ผล คือถึงล้มกระดานได้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างกระดานใหม่เพื่อตอบสนองอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชนชั้นนำได้เต็มที่นัก อย่างไรเสียระบอบปกครองที่เกิดจากการล้มกระดาน ก็ต้องประนีประนอมกับอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชนชั้นอื่นอยู่มาก\n.\n เมื่อกองทัพไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพมากนัก \n.\n การเมืองไทยที่\"คาดเดาได้\"มากขึ้นนี้ ย่อมเป็นผลดีแก่เศรษฐกิจไทยด้วย อาจเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไทยซึ่งเริ่มทรุดลงตั้งแต่ ๒๕๔๙ จะเริ่มทรงตัวและอาจผงกขึ้นได้ นอกจากนี้ สิทธิประชาธิปไตยซึ่งมั่นคงขึ้นก็จะบีบบังคับให้ฝ่ายทุนต้องปรับตัว ซึ่งในระยะหนึ่งคงเกิดความเจ็บปวดแก่สังคมด้วย เช่นขยับเทคโนโลยีการผลิตให้สูงขึ้นเพื่อลดการจ้างแรงงานลง เพราะไม่สามารถกดราคาแรงงานได้ต่อไป ความจำเป็นที่บีบบังคับให้เกิดการปฏิรูปของฝ่ายทุนนี้เอง อาจเป็นไกปืนที่ผลักให้เกิดการปฏิรูปในด้านอื่นเช่นการศึกษาด้วยเป็นต้น\n.\n ที่กล่าวข้างต้นนี้มาจากความเชื่อของผู้เขียนว่า สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ, สังคม, และการเมืองต่างหาก ที่บีบบังคับให้เกิดการปฏิรูปได้จริง ไม่ใช่คำสั่งของเผด็จการหรือนโยบายของพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว\n.\n เมื่อชนชั้นนำไม่เห็นประโยชน์ทางการเมืองของกองทัพมากนัก ก็น่าจะแทรกแซงกองทัพน้อยลง \"การเมือง\"ของกองทัพก็จะเปลี่ยนไป จากการเกาะกลุ่มเป็น\"สาย\"ในกองทัพ เพื่อแข่งกันชิงตำแหน่งระดับสูง ก็จะเป็นโอกาสมากขึ้นของทหารอาชีพที่มีสมรรถภาพจริง ได้ไต่เต้าสู่ระดับบังคับบัญชาขั้นสูงได้ ถึงนายทหารเหล่านี้ไม่เป็นผู้นำในการล้มเลิก\"ทุนสีเขียว\"เสียเอง แต่ในภาวะที่\"การเมืองนำการทหาร\"ก็เป็นไปได้ว่า \"ทุนสีเขียว\"จะถูกบ่อนทำลายลงทีละเล็กละน้อย จนหมดความสำคัญลงในที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลานานแต่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น\n.\n ประการที่สาม เป็นไปได้อย่างมากที่สุดที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากเป็นข้อเสนอหนึ่งของผู้นำนปช.บางคนแล้ว ยังเป็นหนทางที่จะล้มล้างความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นระหว่างการรัฐประหาร ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ด้วย ทั้งในทางการเมือง, ตุลาการ, กฏหมาย, และกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นในการเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นหลังชัยชนะของประชาชน พรรคการเมืองที่เลือกจะชิงการสนับสนุนจากกลุ่ม\"เสื้อแดง\" ย่อมใช้การนำเอารัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมาใช้ใหม่เป็นนโยบายหาเสียง ทั้งนี้ไม่ได้จำกัดแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากรวมพรรคการเมืองอื่นๆ อีกหลายพรรคที่ต้องการคะแนนเสียงเหมือนกัน\n.\n ผลของการเลือกตั้งสร้างปราการอันแข็งแกร่งขึ้นปกป้องรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ แต่ผลของความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่าง ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ก็ยังอยู่ และกลายเป็นอุปสรรคทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ พอสมควร เช่นนักการเมืองที่เจนจัดในเวทีการเมืองจำนวนเป็นร้อยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง\n.\n จะแก้ปัญหานี้อย่างไร โดยไม่บั่นรอนสถาบันตุลาการ และสถาบันทางการเมืองอื่นๆ จนทำให้สังคมสูญเสียศรัทธาไปจนหมดสิ้น เหลือหนทางจะทำได้ก็โดยการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ซึ่งก็แก้ปัญหาไปได้เพียงส่วนเดียว และจำกัดอยู่แต่ทางด้านการเมืองเท่านั้น) หรือหันกลับมารับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ คือถือว่าการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ไม่เป็นผลใดๆ ทั้งสิ้นในทางกฏหมาย มีคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นเพื่อพิจารณากฏหมายและคำสั่งบางข้อ ให้มีผลต่อไปตามคำรับรองของรัฐสภาเท่านั้น\n.\n ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคุณทักษิณ ชินวัตรจะกลับประเทศไทย ส่วนจะกลับมาเป็นผู้นำทางการเมืองอีกหรือไม่ ก็ต้องผ่านการเลือกตั้ง (ที่จัดขึ้นใหม่หลัง ๒๕๕๓ หรือที่ค้างเก่ามาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารที่ถูก\"ตุลาการภิวัตน์\"ตัดสินว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ)\n.\n คุณทักษิณคนใหม่ก็จะใช้ถุงมือกำมะหยี่แทนถุงมือเหล็กอย่างที่เคยใช้มา เป็นผลให้ลดศัตรูลง แม้ยังเหลืออยู่บ้างก็เป็นจำนวนน้อย (เช่นตัวผู้เขียนเอง ซึ่งไม่ไว้วางใจถุงมือทุกชนิด)\n.\n ด้วยเหตุดังนั้น ชนชั้นนำกลุ่มใหญ่ก็จะยอมรับคุณทักษิณได้มากขึ้น อย่างน้อยนโยบาย Dual Tracks หรือนโยบายสองวิถีของคุณทักษิณ ก็ไม่บั่นรอนผลประโยชน์ของฝ่ายทุน และในระยะยาวก็อาจเป็นคุณด้วย เพราะทำให้การเอารัดเอาเปรียบของฝ่ายทุนแหลมคมน้อยลงในความรู้สึกของคนชั้นกลางระดับล่าง\n.\n แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณทักษิณเป็นนายกฯ ต่อมาอีก ๑๖ ปีอย่างที่ประกาศว่าจะเป็นต่อกันถึง ๒๐ ปี สองวิถีก็อาจค่อยๆ เปลี่ยนจากเส้นขนานมาทับเป็นเส้นเดียวกัน โดยที่วิถีของคนเล็กคนน้อยจะเหลืออยู่แต่เป็นลูกจ้างหรือเอเย่นต์รายย่อยของทุนระดับใหญ่ – ของไทยหรือของโลก – เท่านั้น\n.\n อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะคุณทักษิณและพรรคทรท.คงได้เป็นรัฐบาลสืบเนื่องมาอีกอย่างน้อยหนึ่งหรือสองสมัยเป็นอย่างน้อย โอกาสที่จะเกิดพรรคคู่แข่งที่พอจะถ่วงดุลอำนาจของทรท.ได้ คงเกิดได้ยากใน ๔-๘ ปีต่อมา แม้จะมีพรรคอนาคตใหม่ ก็คงต้องใช้เวลานานกว่าที่ผ่านมาอีกมาก กว่าจะตั้งตัวติดบนเวทีการเมือง ส่วนปชป.นั้นไม่ต้องพูดถึง คงสูญพันธุ์ไปเท่านั้น\n.\n เสถียรภาพนี้น่าจะทำให้การกระชับระบบราชการให้รวมศูนย์ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายปฏิรูประบบราชการของทรท. ประสบความสำเร็จ คือไม่ใช่รวมศูนย์อย่างเดียว แต่มีเอกภาพภายใต้\"ซีอีโอ\"ด้วย พลังของราชการรวมศูนย์ที่มีเอกภาพเช่นนี้ จะบ่อนทำลายการเติบโตของอำนาจปกครองตนเองของท้องถิ่นมากน้อยเพียงไร ตอบได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับว่าคุณทักษิณจะประสาน\"สองวิถี\"ของการพัฒนาไปอย่างไร\n.\n แม้ว่า ชัยชนะของประชาชนในปี ๕๓ จะนำมาซึ่งความมั่นคงทางการเมืองแก่พรรคทรท.สักเพียงไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีความตึงเครียดในพรรคทรท.อยู่ไม่น้อยเลย จำนวนไม่น้อยของส.ส.คือเครือข่ายของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ในขณะที่ส่วนยอดของปิรามิดคือคุณทักษิณและกลุ่ม\"นักปฏิรูป\"จากหลายสาขาอาชีพ ที่แวดล้อมคุณทักษิณอยู่ โดยแทบไม่มีคะแนนนิยมทางการเมืองของตนเองเลย เช่น ปัญญาชนอิสระบ้าง, หมอชนบทบ้าง, เกษตรกรแผนใหม่บ้าง, ผู้บริหารการศึกษาระดับสูงบ้าง, ฯลฯ\n.\n ความคิด ความเชื่อและความคาดหวังระหว่างคนในส่วนยอดปิรามิด กับส่วนใหญ่ของส.ส.ซึ่งมาจากกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น แตกต่างกันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวิธีปฏิบัติต่อนโยบายซึ่งอาจเห็นพ้องต้องกันอยู่แล้วก็ได้\n.\n คุณทักษิณต้องประนีประนอมคนสองพวกนี้ให้เดินไปด้วยกันให้ได้ หากจะให้ประเมินว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีกลุ่ม\"นักปฏิรูป\"ลาจากพรรคทรท.ไปจำนวนหนึ่ง กลุ่มนักการเมืองส่วนหนึ่งก็เช่นกัน และบางคนถึงประกาศตนเป็นอริกับคุณทักษิณในตอนท้ายเลย (ขอให้สังเกตด้วยว่า นักการเมืองและผู้ที่เข้าร่วมในค.ร.ม.ของคสช.และพรรคพปชร.จำนวนไม่น้อย ก็ล้วนเคยอยู่กับคุณทักษิณในทรท.มาก่อน) แม้กระนั้นคุณทักษิณก็สามารถนำพรรคทรท.กวาดคะแนนเสียงไปได้อย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไปสมัยที่สอง (ที่ถูกตัดสินให้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไป) ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า คุณทักษิณจะสามารถประนีประนอมคนสองจำพวกนี้ต่อไปอีก ๑๖ ปี โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อคะแนนเสียงของพรรคทรท.ได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อนโยบายจะนำเอาความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาเข้าสู่สังคม และเมื่อเกิดพรรคฝ่ายค้านใหม่ที่น่าเกรงขามกว่าพรรคฝ่ายค้านเดิมที่มีมา\n.\n นอกจากนี้การขยายตัวของความคิดเสรีนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ (ซึ่งจะเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่เกิดการรัฐประหารในพ.ศ.๒๕๕๗ ผู้เขียนก็เดาไม่ถูก) จะเป็นคุณหรือเป็นโทษทางการเมืองแก่พรรคทรท.ของคุณทักษิณ? ถ้าเป็นโทษ คุณทักษิณจะอยู่รอดทางการเมืองถึงอีก ๑๖ ปีตามที่คาดหวังไว้ละหรือ\n.\n แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่ว่าชะตากรรมทางการเมืองของพรรคทรท.จะลงเอยอย่างไร การเปลี่ยนผ่านไปสู่พรรคใหม่ นโยบายใหม่ และบุคลิกภาพใหม่ จะเกิดขึ้นตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งจะยิ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้นในสังคม จนกระทั่งชนชั้นนำต้องเลือกวิธีอื่นที่ไม่ขัดแย้งกับกระบวนการประชาธิปไตย ในการรักษาอุดมการณ์และผลประโยชน์ของฝ่ายตน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงเป็นอื่นได้\n.\n แต่ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ข้อสมมติว่าประชาชนชนะในปี ๒๕๕๓ นั้นไม่จริง ตรงกันข้าม กลับพ่ายแพ้ยับเยิน แม้กระนั้นการสมมตินี้ก็มีประโยชน์ เพราะทำให้เราหยั่งได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งจมดิ่งไปสู่แนวทางเดียวของความรุนแรงนั้น นำเรามาถึงจุดที่ไม่อาจหาทางออกทางอื่นได้อีกแล้วในปัจจุบัน ท่ามกลางความสูญเสีย ไม่เฉพาะแต่ชีวิตและสวัสดิภาพของผู้คนจำนวนมากในเหตุการณ์ล้อมปราบ แต่ยังรวมถึงโอกาสแห่งความรุ่งเรือง, เสรีภาพ และความสงบที่คนไทยควรได้รับด้วย #ข้อความที่ควรอ่านมากๆของ อ.นิธิ", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110153838458707968/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110151675734507520", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "<a href=\"https://www.minds.com/newsfeed/1110151675734507520\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/newsfeed/1110151675734507520</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers", "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1107366671133188105" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110151675734507520", "published": "2020-05-21T10:26:25+00:00", "inReplyTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1107366671133188105/entities/urn:activity:1110097234890235904", "source": { "content": "https://www.minds.com/newsfeed/1110151675734507520", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110151675734507520/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110103509763956736", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "<a href=\"https://www.minds.com/newsfeed/1110103509763956736\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/newsfeed/1110103509763956736</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers", "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1109881667784286211" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110103509763956736", "published": "2020-05-21T07:15:01+00:00", "inReplyTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1109881667784286211/entities/urn:activity:1110095254090903552", "source": { "content": "https://www.minds.com/newsfeed/1110103509763956736", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110103509763956736/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110092303075549184", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "ถ้าคนอดไม่ไหว พรก ก็ไม่น่าเอาอยู่", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110092303075549184", "published": "2020-05-21T06:30:29+00:00", "source": { "content": "ถ้าคนอดไม่ไหว พรก ก็ไม่น่าเอาอยู่", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110092303075549184/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110055176382394368", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "<a href=\"https://www.minds.com/newsfeed/1110055176382394368\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/newsfeed/1110055176382394368</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers", "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1109854327209467906" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110055176382394368", "published": "2020-05-21T04:02:57+00:00", "inReplyTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1109854327209467906/entities/urn:activity:1110053818229612544", "source": { "content": "https://www.minds.com/newsfeed/1110055176382394368", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110055176382394368/activity" }, { "type": "Create", "actor": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "object": { "type": "Note", "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110042881169580032", "attributedTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580", "content": "<a href=\"https://www.minds.com/newsfeed/1110042881169580032\" target=\"_blank\">https://www.minds.com/newsfeed/1110042881169580032</a>", "to": [ "https://www.w3.org/ns/activitystreams#Public" ], "cc": [ "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/followers", "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1107668339636838414" ], "tag": [], "url": "https://www.minds.com/newsfeed/1110042881169580032", "published": "2020-05-21T03:14:06+00:00", "inReplyTo": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1107668339636838414/entities/urn:activity:1110038173656047616", "source": { "content": "https://www.minds.com/newsfeed/1110042881169580032", "mediaType": "text/plain" } }, "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/entities/urn:activity:1110042881169580032/activity" } ], "id": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/outbox", "partOf": "https://www.minds.com/api/activitypub/users/1110032524072984580/outboxoutbox" }